Vivo ประกาศเปิดตัว Vivo X23 อย่างเป็นทางการที่ประเทศจีน โดยเป็นสมาร์ทโฟนระดับกลางบนรุ่นใหม่ในตระกูล X Series ที่มาพร้อมดีไซน์สวยหรูระดับพรีเมี่ยม, กล้อง AI, ระบบเสียง Hi-Fi และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอรุ่นที่ 4
สเปก Vivo X23 ตัวเครื่องมีขนาด 157.68 x 74.06 x 7.47 มม. และน้ำหนัก 160.5 กรัม ด้านหลังครอบทับด้วยกระจก 3 มิติสวยหรู
หน้าจอแสดงผลแบบ Super AMOLED ความละเอียด FHD+ 2340 x 1080 พิกเซล ขนาด 6.4 นิ้ว ในสัดส่วน 19:5:9 และมีอัตราส่วนระหว่างหน้าจอกับตัวเครื่องที่ 91.2% โดยมีติ่งหรือช่องเล็กๆ ซึ่ง Vivo เรียกว่า Halo FullView อยู่ตรงกลางด้านบนสำหรับเป็นตำแหน่งกล้องเซลฟี่
ใช้หน่วยประมวลผลซีพียูแบบ Octa Core โดยใช้ชิปเซ็ท Snapdragon 670, หน่วยประมวลผลกราฟิก Adreno 615, RAM 8GB, หน่วยความจำภายใน 128GB เพิ่มได้ด้วย microSD Card สูงสุด 256GB และรันบนระบบปฏิบัติการ Android 8.1 Oreo ครอบทับด้วย Funtouch OS 4.1
ติดตั้งกล้องหลังคู่ โดยกล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ Sony IMX363 และรูรับแสง f/1.8 กล้องรองความละเอียด 13 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 และเลนส์มุมกว้าง 125 องศา พร้อมรองรับคุณสมบัติ AI ทั้ง AI Beauty, AI scene detection, AR สติ๊กเกอร์ เป็นต้น
ส่วนกล้องหน้าเซลฟี่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.0
นอกจากนี้ยังติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอรุ่นที่ 4 ที่มีการปรับปรุงใหม่ สามารถปลดล็อคเครื่องได้ภายในเวลาเพียง 0.35 วินาทีเท่านั้น, รองรับการสแกนใบหน้าผ่านกล้องหน้า พร้อมเลนส์ IR สำหรับการระบุใบหน้าในที่มืด, ผู้ช่วย Jovi AI และระบบเสียง Hi-Fi โดยใช้ชิปเสียง AK4377A
รวมทั้งมีเทคโนโลยีเร่งความเร็วแบบ Turbo ซึ่งประกอบด้วย System Turbo การปรับปรุงประสิทธิภาพของแอปพลิเคชันได้ถึง 100% และ Game Turbo ที่จัดเตรียมทรัพยากรของเครื่องเพื่อให้แน่ใจได้ว่าการเล่นเกมจะมีความราบรื่น
รองรับ 2 SIM, รองรับ 4G with VoLTE, Wi-Fi 802.11ac, Bluetooth 5.0, USB Type-C และแบตเตอรี่ 3,400mAh รองรับการชาร์จเร็ว 22.5W
ทั้งนี้ Vivo X23 เปิดตัวในราคา 3,498 หยวนหรือประมาณ 16,778 บาท
โดยมีให้เลือก 3 สีคือ Magic Blue, Phantom Purple และ Phantom Red วางจำหน่ายที่ประเทศจีนในวันที่ 14 กันยายน
และมีรุ่นพิเศษ Vivo Logo Phone ที่มาพร้อมโลโก้ Vivo ด้านหลังเครื่องอีก 2 สี คือ Fashion Purple และ Fashion Orange วางจำหน่ายในวันที่ 1 ตุลาคมนี้
ที่มา : Gizmochina