ซอฟต์แวร์และฟีเจอร์
Vivo V20 SE รันบนระบบปฏิบัติการ Android 10 ที่ครอบทับด้วย Funtouch OS 11 เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด ซึ่งในภาพรวมมีการปรับเปลี่ยน UI เล็กน้อย โดยตัวไอคอนมีความสวยงามโมเดิร์นแบบสัมผัสได้ ส่วนเมนูการตั้งค่าต่าง ๆ มีการปรับเปลี่ยนให้ดูคลีนสะอาดตาและใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้นอีกด้วย
ทั้งนี้ผู้ใช้งานสามารถปรับเปลี่ยนธีม หรือภาพพื้นหลังรวมถึงรูปแบบตัวอักษรได้ตามสไตล์การใช้งาน พร้อมทั้งตั้งค่ารูปแบบ Home Screen ได้ตามไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบ
Jovi Home
เมื่อเลื่อนหน้าจอจากด้านซ้ายไปยังด้านขวาของหน้าโฮมเพจ จะเข้าสู่ Jovi Home ซึ่งเป็นหน้าหลักที่รวบรวมแอปพลิเคชันทั้งหมดไว้ด้วยกัน พร้อมการออกแบบสไตล์การ์ดที่ใช้งานง่าย โดยมีไฮไลท์ที่น่าสนใจดังนี้
Shortcuts – ทางลัดที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึง แอปพลิเคชันการล้างพื้นที่เครื่อง เครื่องคิดเลข ล็อคแอปพลิเคชั่น และอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
Suggestions – คำแนะนำที่สามารถแจ้งเตือนอัจฉริยะสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน เช่นเวลาพักผ่อน และการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
My Services – สามารถปรับแต่งตามความสนใจของคุณ เช่น เกี่ยวกับการแข่งขันกีฬา ข้อมูลด้านสุขภาพ การออกกำลังกาย หรือคำแนะนำเกี่ยวกับการดื่มน้ำ และการพยากรณ์อากาศ
Dynamic Effects จะช่วยเสริมการใช้งานสมาร์ตโฟนของเราให้ดูน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งขึ้น โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกเอฟเฟกต์สำหรับการตั้งค่าภาพเคลื่อนไหวบนหน้าจอ, ปลดล็อกหน้าจอ,เอฟเฟกต์จดจำใบหน้า และอื่น ๆ อีกมากมาย
ฟีเจอร์ EasyShare ถ่ายโอนข้อมูลได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
โดย EasyShare ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายโอนข้อมูลจากโทรศัพท์เครื่องเก่าไปยังเครื่องใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และเต็มเปี่ยมประสิทธิภาพ หมดปัญหาข้อมูลหายหลังจากเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่อีกต่อไป
Dark Mode ฟีเจอร์ที่จะช่วยให้การใช้งานในตอนกลางคืนเป็นไปอย่างราบลื่น และส่งผลดีต่อสุขภาพดวงตาของของผู้ใช้งาน โดยหลักการทำงานของฟีเจอร์ Dark Mode จะเปลี่ยนพื้นหลังให้เป็นสีดำ เพื่อการใช้งานในสภาพแวดล้อมในที่แสงน้อยได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งช่วยทั้งเรื่องของการประหยัดพลังงาน พร้อมถนอมสายตา และก่อให้เกิดความผ่อนคลายแก่ผู้ใช้งานอีกทางหนึ่งด้วย
(Dark Mode สามารถใช้งานได้กับบางแอปฯ)
Vivo V20 SE มาพร้อมฟีเจอร์ด้าน Network และการโทรที่มีความโดดเด่นด้วยการรองรับเทคโนโลยี Full Netcom 4.0 ทำให้สามารถสามารถจับสัญญาณ 4G/3G ได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิม รวมไปถึงยังรองรับการโทรผ่าน Wi-Fi และ Dual VoLTE ที่สามารถเปิด VoLTE ได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิม ทำให้การโทรผ่านสัญญาณที่มีความเร็วสูงบนคลื่น 4G มีความคมชัดมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถใช้งานด้านการโทรควบคู่ไปกับการใช้งาน Data ได้อย่างราบลื่นอีกด้วย
สำหรับปุ่มนำทาง สามารถปรับตั้งค่าให้เหมาะกับความถนัดของเราได้ตามที่ต้องการ นอกจากนี้ยังมี Full Screen gesture ที่มาพร้อมฟีเจอร์สั่งการง่าย ๆ และสามารถใช้งานจอแสดงผลได้แบบเต็ม 100%
โดย Navigation gestures เป็นฟีเจอร์ที่ใช้การสไลด์นิ้วบนหน้าจอแสดงผลแทนการกดปุ่ม navigation เพื่อให้เหลือพื้นที่การใช้งานที่มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้ผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ว่าจะใช้รูปแบบการสั่งการแบบไหน เช่นการลากจากขอบด้านล่างจากตำแหน่งตรงกลาง เพื่อกลับไปที่หน้าโฮม ซึ่งก็เหมือนการกดที่ปุ่มโฮมนั่นเอง
โหมดใช้งานมือเดียวและการจับภาพหน้าจอที่มีความหลากหลาย สำหรับการจับภาพหน้าจอก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์พิเศษของ Vivo โดยสามารถจับภาพหน้าจอได้ยืดหยุ่นมาก ๆ ทั้งการลาก 3 นิ้วขึ้นไปจากหน้าจอแสดงผล
รวมไปถึงการจับภาพหน้าจอแบบยาวๆ หรือรูปแบบอิสระ อีกทั้งยังบันทึกหน้าจอในรูปแบบของวีดีโอได้อีกด้วย และอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ขาดไม่ได้ก็คือแอพโคลน ที่รองรับการใช้งานแอปพลิเคชั่นโซเชียลยอดนิยม เช่น Line, Facebook หรือ Instagram ได้พร้อม ๆ กันถึง 2 แอคเคาท์ในเครื่องเดียว
สำหรับโหมดการใช้งานอัจฉริยะ เป็นฟีเจอร์ที่มีให้ใช้งานมาอย่างยาวนานบนสมาร์ตโฟนของ Vivo ซึ่งฟีเจอร์เหล่านี้ก็คือการทำงานร่วมกับพวกเซ็นเซอร์ต่าง ๆ โดยเป็นการอำนวยความสะดวกในการใช้งานเป็นหลัก เช่น วาดตัวอักษรบนหน้าจอเพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชั่น, ปลดล็อคด้วยการโบกมือผ่านหน้าจอ การแจ้งเตือน การรับสายหรือเปลี่ยนเป็นโหมดแฮนด์ฟรีอัตโนมัติ ฯลฯ
ฟีเจอร์ยอดนิยมที่มีมาให้ใช้งานอย่างยาวนาน ก็คือโหมดการแบ่งหน้าต่างเพื่อใช้งาน 2 แอปพลิเคชั่นไปพร้อม ๆ กัน เช่นแชทไปด้วยด้วยพร้อมดู YouTube ในขณะเดียวกัน
ซึ่งบน Vivo V20 SE นั้นเรียกใช้งานการแบ่งหน้าจอได้ง่าย ๆ เพียงลาก 3 นิ้วจากด้านล่างขึ้นไปยังด้านบนของจอแสดงผล ก็จะสามารถใช้งาน 2 แอปฯในหนึ่งหน้าจอได้ในทันที
ฟีเจอร์ในด้านความปลอดภัยก็ถือว่าจัดเต็ม โดย Vivo V20 SE มาพร้อมฟีเจอร์ที่ช่วยป้องการใช้งานในภาพรวมได้อย่างคลอบคลุม ทั้งข้อมูลส่วนตัวการเข้ารหัสแอป ตู้เซลไฟล์ การล็อคซิมการ์ด และฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมายที่สามารถปรับตั้งค่าได้อย่างยืดหยุ่น ทำให้ผู้ใช้งานอุ่นใจและมีความปลอดภัยสูงสุด
ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพและปลอดภัย ด้วยผู้ช่วยอัฉริยะ iManager ที่มาพร้อมความสามารถครบครัน ทั้งสแกนไวรัส ลบไฟล์ขยะ ระบายความร้อน สำรองข้อมูลและจัดการด้านพลังงาน
ในภาพรวม Vivo V20 SE มีการจัดสรรพลังงานได้น่าประทับใจมาก ถ้าเป็นการใช้งานทั่วไปสามารถใช้งานได้ครบวันแบบสบาย ๆ ส่วนหนึ่งต้องยกความดีให้แบตเตอรี่ความจุสูงถึง 4100mAh ทำให้สามารถใช้งานได้ยาวนาน รวมถึง Firmware ที่ปรับแต่งมาให้สามารถจัดสรรพลังงานได้อย่างเหมาะสม
ส่วนถ้าใครเน้นเล่นเกมหรือใช้งานหนัก ๆ ตลอดทั้งวัน ก็ไม่ต้องซีเรียสครับ เพราะ Vivo V20 SE รองรับชาร์จไวด้วยเทคโนโลยี 33W vivo FlashCharge 2.0 ช่วยให้ชาร์จได้ 0 ถึง 62 เปอร์เซ็นต์ ในเวลาเพียง 30 นาที ไม่ว่าจะถ่ายรูป ฟังเพลงหรือเล่นเกม ก็พร้อมให้คุณใช้งานได้ตลอดเวลา
ประสิทธิภาพ
Vivo V20 SE ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต SDM665 Snapdragon 665 บนสถาปัตยกรรม 11 นาโนเมตร ประมวลผล Octa-core (4×2.0 GHz Kryo 260 Gold & 4×1.8 GHz Kryo 260 Silver) เมื่อทำงานร่วมกับ RAM 8GB จึงส่งผลให้สามารถรีดประสิทธิภาพออกมาได้อย่างเต็มศักยภาพ และเมื่อดูจากผลคะแนนแล้วจะเห็นว่าแรงกว่า snapdragon 660 ถึง 2 เท่าเลยทีเดียว
ส่วนในแง่การใช้งานจริงถือว่าเป็นรุ่นกลาง ๆ ที่มาพร้อมความลื่นไหล และความแรงในระดับที่นำไปใช้งานทั่วไปและเล่นเกมได้แบบสบาย ๆ สำหรับเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ก็ให้มาอย่างครบถ้วน อาทิ Gyroscope, Magnetic, Accelerometer ส่วนภาครับสัญญาณ GPS ก็มีความแม่นยำอยู่ในเกณฑ์ที่น่าประทับใจ
มัลติมีเดียและความบันเทิง
Music Player บน Vivo V20 SE มาพร้อมจุดเด่นด้าน Software ด้วยฟีเจอร์ DeepField เอฟเฟ็กต์เสียงที่พัฒนาโดย Vivo ทำให้การถ่ายทอดเสียงที่ได้มีความนุ่มลึก คมชัดใสเคลียร์ รองรับการจำลองระบบเสียงรอบทิศทาง 360 องศา อีกทั้งยังปรับแต่งเสียงผ่าน EQ ได้ยืดหยุ่นและตรงใจผู้ใช้งานได้มากยิ่งขึ้น สำหรับคนที่ชื่นชอบการฟังเพลง Vivo V20 SE นั้นไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน
ในปัจจุบันเราอาจจะไม่ค่อยเห็นสมาร์ทโฟนใส่ FM มาให้ใช้งานเหมือนเมื่อก่อน แต่ทางค่าย Vivo ยังเล็งเห็นความสำคัญของกลุ่มผู้ใช้งานที่ยังชื่นชอบการรับฟังวิทยุ FM จึงไม่แปลกใจที่หลาย ๆ รุ่นยังคงมาพร้อมกับ FM ซึ่งบน Vivo V20 SE เป็น FM แบบทศนิยมหนึ่งจุด ทีมีภาครับสัญญาณถือว่าคมชัดใช้ได้เลยครับ ส่วนฟีเจอร์ก็ให้มาอย่างครบถ้วน เช่นการบันทึกไว้ฟังในแบบออฟไลน์ภายหลังเป็นต้น
สำหรับ Video Player บน Vivo V20 SE รองรับการเล่นไฟล์วีดีโอความละเอียด 4K ได้อย่างไหลลื่น แถมยังมีฟีเจอร์ที่ให้ฟิลลิ่งใกล้เคียงกับแอปชื่อดังอย่าง MX Player เช่นการปัดบนหน้าจอฝั่งซ้ายเพื่อปรับระดับความสว่าง และปัดบนหน้าจอฝั่งขวาเพื่อปรับเพิ่ม/ลดระดับเสียงเป็นต้น
ทดสอบการเล่นเกม
เริ่มกันที่ PUBG เกม Tactical-FPS สามมิติเต็มรูปแบบ เบื้องต้นสามารถตั้งค่ากราฟิกที่ระดับ “ดี” และเฟรมเรทระดับสูง ซึ่งในการทดสอบจริง ทั้งการเคลื่อนไหว รวมถึงแอคชั่นต่าง ๆ ภายในเกมนั้นให้ความสมูทต่อเนื่อง โดยไม่รู้สึกถึงอาการหน่วงแต่อย่างใด
ต่อกันด้วย ROV อีกหนึ่ง เกม MOBA สุดฮิตของบ้านเรา โดยค่าเริ่มต้น ตั้งค่าภาพ HD ในระดับสูงมา การแสดงผลระดับสูง พร้อมเลือกเฟรมเรทสูงโดยรักษาความ stable ไว้ที่ระดับ 59-60fps แบบต่อเนื่อง ในภาพรวม Vivo V20 SE นั้นถือว่าแรงพอที่จะตีป้อมได้อย่างสมูทไหลลื่น โดยไม่หัวร้อนอย่างแน่นอน
ปิดท้ายกันด้วยด้วยเกม Call of Duty ที่สามารถปรับตั้งค่าคุณภาพกราฟิกระดับ High และเฟรมเรท High พบว่าสามารถเล่นได้ค่อนข้างไหลลื่น มีความสมูทที่ดีมาก ๆ และไม่พบอาการแลคหรือหน่วงให้เห็น ส่วนหนึ่งต้องยกความดีให้กับ Firmware ที่ปรับแต่งมาเป็นอย่างดี รวมถึงฟีเจอร์ Game Space ที่ช่วยเพิ่มสมรรถนะให้เหมาะสมกับการเล่นเกมได้ดียิ่งขึ้น