ทรู คอร์ปอเรชั่น บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยี ชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2023 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน ประกาศดอกเบี้ยหุ้นกู้ชุดใหม่ ผลตอบแทนระหว่าง 2.85-4.20% ต่อปี
โดยมีหุ้นกู้เสนอขายจำนวน 5 รุ่น ตั้งแต่อายุหุ้นกู้ 1 ปี 3 เดือน ถึง 10 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่ม ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง
ตอกย้ำสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่นที่มีความมั่นคงทั้งในธุรกิจโทรคมนาคม และธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล
คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 27 – 29 สิงหาคม พ.ศ. 2567 โดยมีธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น หรือ TRUE ชุดใหม่ ต่อประชาชนเป็นการทั่วไป (Public Offering)
ซึ่งเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ และหุ้นกู้อยู่ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 คาดว่าจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 27 – 29 สิงหาคม พ.ศ. 2567
สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่ ทั้ง 5 ชุด มีดังนี้
- หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 1 ปี 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.85% ต่อปี
- หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.45% ต่อปี
- หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 3 ปี 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.65% ต่อปี
- หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 5 ปี 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.00% ต่อปี
- หุ้นกู้ชุดที่ 5 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.20% ต่อปี
ซึ่งเฉพาะรุ่นอายุ 10 ปี ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่หุ้นกู้ครบปีที่ 5
นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
“ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/2567 ของบริษัทฯ นับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี EBITDA เติบโตต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกันภายหลังการควบรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทค ส่งผลให้มีกำไรภายหลังการปรับปรุงสูงถึง 2.4 พันล้านบาท
ทั้งนี้เป็นผลมาจากรายได้จากการให้บริการ(ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC) เติบโต 5.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน ด้วยแรงหนุนจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และธุรกิจบรอดแบนด์ ตลอดจนการปรับโครงสร้างต้นทุนและการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยในไตรมาสที่ 2/2567 ทรูมี EBITDA สูงถึง 2.43 หมื่นล้านบาท เติบโต 4.9 พันล้านบาทนับตั้งแต่การควบรวมกิจการ ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องรวมถึงการบริหารจัดการการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ยังทำให้ทรูมีกระแสเงินสดสุทธิสูงขึ้นและมีหนี้เงินกู้ยืมลดลงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
การที่ทรูออกหุ้นกู้ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปใช้ชำระคืนหนี้หุ้นกู้ของบริษัทฯ ที่ครบกำหนดชำระคืนโดยหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่มีอายุระหว่าง 1 ปี 3 เดือน ถึง 10 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่ม
โดยนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะสั้นสามารถเลือกลงทุนในรุ่น 1 ปี 3 เดือน ถึง 3 ปี 3 เดือน สำหรับนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะกลางก็อาจเลือกลงทุนในรุ่น 5 ปี 3 เดือน หรือนักลงทุนที่ชอบลงทุนระยะยาวและต้องการรับดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอเพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็อาจเลือกลงทุนในรุ่น 10 ปี ซึ่งให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า
หุ้นกู้ TRUE เป็นอีกหนึ่งโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ และคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มาซึ่งมีผู้ลงทุนจำนวนมากให้ความสนใจจองซื้อครบเต็มจำนวน สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีความมั่นคง ในช่วงที่สถานการณ์ตลาดหุ้นกู้ผันผวนและมีข่าวเชิงลบเข้ามากระทบ อีกทั้งดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มปรับตัวลดลงในช่วงท้ายของปี 2567 การลงทุนในหุ้นกู้ TRUE ถือเป็นโอกาสให้ผู้ลงทุนล็อคผลตอบแทนในระยะยาวได้”
ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่
- ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking
- ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02 888 8888 กด 869 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 777 6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 626 7777 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอป CIMB Thai
- ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 285 1555
- บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02 680 4004
- บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 165 5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)
สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมถึงรายละเอียด ขั้นตอน และวิธีการสมัคร TrueMoney Wallet Application และวิธีการจองซื้อ ได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6