เรียกได้ว่า ซัพพลายเออร์ของทั้งสองซีกโลกต่างเจ็บตัวกันไปไม่มากก็น้อย เมื่อสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนระเบิดขึ้น จากการแข่งกันขึ้นกำแพงภาษี จนในที่สุด กลายมาเป็นกรณีช็อคโลก เมื่อ Google ประกาศยกเลิกการทำธุรกิจกับ Huawei ส่งผลให้สมาร์ทโฟน Huawei ในอนาคตอาจไม่สามารถใช้งาน Android ได้
รวมถึงไม่สามารถเข้าถึงบริการหลักอื่น ๆ ของ Google ไม่ว่าจะเป็น Play Store, Gmail, YouTube, Google Map รวมถึงแอพพลิเคชันบางตัวที่เรียกใช้ Service ของ Google ทำเอาเหล่าคนใช้สมาร์ทโฟนสัญชาติจีนตระหนกตกใจจนกลายเป็นกระแสฮอตในโซเชียลและชิงพื้นที่ข่าวในหลายสื่อ
เมื่อโฟกัสไปยังมุมมองของสื่อกระแสหลักในฝั่งอเมริกาและยุโรปต่อมาตรการแบนหัวเว่ยของสหรัฐในครั้งนี้ นี่คือบางส่วนที่สื่อเหล่านั้นได้ให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจ
CBS เครือข่ายสถานีโทรทัศน์อเมริกัน หนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการโทรทัศน์ของสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่า “มาตรการคว่ำบาตรจากนโยบายของทรัมป์ที่มีต่อหัวเว่ย เริ่มส่งผลกระทบต่อซัพลายเออร์ของหัวเว่ยในสหรัฐในวงกว้าง ซึ่งถ้าหากยอดขายลดลง บริษัทเทคโนโลยีเหล่านั้น อาจประสบภาวะขาดทุนจนต้องเลิกจ้างพนักงานในที่สุด”
Yahoo ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกาได้เขียนบทความลงในเว็บไซต์ว่า “มีความเป็นไปได้ที่บริษัทเทคโนโลยีของอเมริกาจะถูกแบนกลับโดย Huawei เช่นกัน เพราะทรัมป์ได้ที่สร้างผลกระทบต่อ Huawei แต่ในทางกลับกัน ก็อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทในสหรัฐอีกหลายแห่ง ที่เกี่ยวข้องกับ Supply Chain ของยักษ์ใหญ่แห่งโลกเทคโนโลยีอย่างจีน ซึ่งที่ผ่านมาได้ขายชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ให้จีนรวมเป็นมูลค่าประมาณ 11,000 ล้านเหรียญ
ด้านนักวิเคราะห์ Roger Kay กล่าวว่า “การแบนในครั้งนี้ อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ให้หัวเว่ยและบริษัทเทคโนโลยีจากจีนอีกมากมาย เร่งพัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์และส่วนประกอบอื่นๆ ซึ่งในระยะสั้น สิ่งนี้ย่อมส่งผลเสียต่อบริษัทเทคโนโลยีทั้งในสหรัฐอเมริกาและจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบระยะยาวนั้น มีความเป็นไปได้ที่หัวเว่ยและบริษัทเทคโนโลยีจีนอื่นๆ จะไม่พึ่งพาซัพพลายเออร์ของสหรัฐฯ อีกต่อไป”
วันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา สำนักข่าวรอยเตอร์ได้รายงานเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการควบคุมการส่งออกที่เข้มงวดของบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐที่มีต่อหัวเว่ย โดยให้ความเห็นว่า บริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐอาจสูญเสียมูลค่าการส่งออกสูงถึง 56,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐในอีก 5 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้รายงานจากมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมของสหรัฐยังได้ระบุอีกว่า เหตุการณ์ดังกล่าวจะเป็นภัยคุกคามต่อคนงานของสหรัฐเป็นจำนวนมากถึง 74,000 คน ในขณะที่ John Norfolk ประธานสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อเมริกัน (American Semiconductor Industry Association) กล่าวว่า เขาหวังว่ารัฐบาลจะสามารถผ่อนคลายข้อจำกัดที่มีต่อ Huawei ได้ เพราะไม่เพียงแต่จะเป็นการส่งเสริมเป้าหมายด้านความปลอดภัยของสหรัฐเท่านั้น แต่ยังลดความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐในอุตสาหกรรมดังกล่าวอีกด้วย
ในวันที่ 21 พฤษภาคม Bloomberg ได้ให้ความเห็นว่า “การโจมตีของทรัมป์ต่อ Huawei เป็นความผิดพลาดร้ายแรง และการปราบปรามของทรัมป์ที่มีต่อ Huawei นั้นถูกอธิบายว่าเป็น “ขีปนาวุธนิวเคลียร์” ที่เปิดตัวในการต่อสู้กับปัญหาการค้าและความมั่นคงของจีนอย่างไม่สมน้ำสมเนื้อและไม่ฉลาดเอาซะเลย” บทความยังได้กล่าวว่า “ในช่วงแรก บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐที่เป็นซัพพลายเออร์ของหัวเว่ย อาจเพียงเกิดความเสียหายในธุรกิจ และนั่นจะเป็นการกระตุ้นให้จีนผลักดันความพยายามในการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงในเกิดขึ้นประเทศจีนอย่างเป็นรูปธรรม” บทความดังกล่าวเชื่อว่าสหรัฐอเมริกาจะเป็นผู้สูญเสียยิ่งกว่าหัวเว่ย
นอกจากนี้สื่ออังกฤษยังได้แสดงความกังวลต่อกรณีดังกล่าว ดังนี้
Financial Times ของอังกฤษรายงานเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคมว่า Watkins รองประธานฝ่ายธุรกิจของ Huawei ในยุโรป กล่าวว่า “Huawei เป็น “หมากตัวหนึ่ง” ในสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม Huawei ได้เตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นไว้แล้ว โดยได้พัฒนาระบบปฏิบัติการของตัวเอง ซึ่งได้รับการทดสอบในบางส่วนของประเทศจีนและสามารถเปิดใช้งานได้ทันที”
สื่ออีกแห่งจากอังกฤษ The Guardian กล่าวว่า “สาเหตุที่แท้จริงของข้อพิพาท คือ สหรัฐฯกังวลเกี่ยวกับการสูญเสียตำแหน่งผู้นำเทคโนโลยีของโลก และความเสียหายดูจะไม่ชัดเจนนัก เมื่อพิจารณาจากการที่ Google จะไม่ให้บริการต่อตลาดผู้บริโภคชาวจีนอีกต่อไป ในระยะกลางและระยะยาว การตัดสินใจของทรัมป์ในครั้งนี้ จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก และ Google ก็แสดงให้เห็นถึงความไม่น่าเชื่อถือขององค์กร เพราะเมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ Google จะสามารถตัดแอพพลิเคชั่นที่ใช้งานได้บางส่วนของระบบปฏิบัติการ Android ออกไปได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้ ยังจะมีบริษัทอื่นใดอีกหรือ ที่เต็มใจจะพึ่งพาพันธมิตรในแบบดังกล่าว”