ซัมซุงพร้อมนำทุกคนเข้าสู่ยุคใหม่ของนวัตกรรมสมาร์ทโฟน ด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้เจเนอเรชันที่สาม อย่าง Galaxy Z Fold3 5G | Flip3 5G ที่มาพร้อมการออกแบบอย่างประณีต นวัตกรรมล้ำสมัยระดับแฟลกชิป และการนำความคิดเห็นของผู้ใช้ที่ต้องการให้สมาร์ทโฟนมีความแข็งแกร่งขึ้น เพื่อพร้อมรองรับรูปแบบการใช้งานที่หลากหลายมาพัฒนาให้เกิดขึ้นจริง
Galaxy Z Fold3 5G คือขุมพลังสำหรับการใช้งานแบบมัลติทาส์กอย่างแท้จริง ด้วยจอแสดงผล Infinity Flex ขนาด 7.6 นิ้ว[1] ที่พร้อมรองรับการใช้งาน S Pen[2] บนสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้เป็นครั้งแรก ในขณะที่ Galaxy Z Flip3 5G มาพร้อมกับดีไซน์อันโฉบเฉี่ยว แต่กะทัดรัด พกพาสะดวก รวมถึงหลากหลายฟีเจอร์อันล้ำสมัย กล้องที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ และหน้าจอด้านหน้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้น[3] เพื่อการใช้งานได้รวดเร็วในทุกขณะ
ดร. ทีเอ็ม โรห์ ประธานฝ่าย โมบายล์ คอมมูนิเคชัน ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ กล่าวว่า “ซัมซุง ในฐานะผู้บุกเบิกและผู้นำด้านสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ เรามีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่จะสานต่อนวัตกรรมอันก้าวล้ำไปสู่ Galaxy
Z Fold3 5G | Flip3 5G ซึ่งถือเป็นสมาร์ทโฟนที่จะมากำหนดนิยามและปลดล็อกความเป็นไปได้ใหม่ๆ ด้วยความสามารถในการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานที่หลากหลายและง่ายดายเหมาะสำหรับโลกในปัจจุบัน ร่วมไปกับเหล่ากาแลคซี่อีโคซิสเต็ม ที่มาพร้อมระบบนิเวศแบบเปิดและนวัตกรรมอีกมากมาย”
การสร้างสรรค์อันประณีตที่มาพร้อมที่สุดแห่งความแข็งแกร่ง
Galaxy Z Fold3 5G | Flip3 5G มาพร้อมมาตรฐานการทนน้ำระดับ IPX8[4] ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของสมาร์ทโฟนตระกูล Z Series พร้อมด้วยวัสดุตัวเครื่องที่ทำมาจาก Armor Aluminum ซึ่งเป็นอลูมิเนียมที่แข็งแรงที่สุดเท่าที่เคยนำมาใช้กับสมาร์ทโฟน รวมถึง Corning® Gorilla® Glass Victus™ ที่ช่วยปกป้องเครื่องจากรอยขีดข่วนและการตกหล่น พร้อมฟิล์มกันรอยแบบยืดชนิดใหม่ (Stretchable PET)[5] และการปรับชั้นแผงหน้าจอหลัก ซึ่งส่งผลให้หน้าจอมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 80%[6]
นอกจากนี้ ซัมซุงยังได้คงนวัตกรรมบานพับ ‘Hideaway Hinge’ ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติรูปแบบการพับไปอย่างสิ้นเชิงด้วยความสามารถในการกางออกและปรับองศาหน้าจอได้ตามต้องการเมื่อใช้งาน Flex mode[7] พร้อมสร้างความเชื่อมั่นด้วยผลการทดสอบความแข็งแกร่งต่อการพับ 200,000 ครั้ง[8] จาก Bureau Veritas
ทั้งนี้ Galaxy Z Fold3 5G | Flip3 5G ยังได้มีการปรับเส้นใยไฟเบอร์ของ Sweeper technology ที่ทำหน้าที่กันฝุ่นละอองและสิ่งแปลกปลอมไม่ให้เข้าไปที่บานพับให้มีขนาดสั้นลง ทำให้เครื่องบางเบา โฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น โดยในด้านประสิทธิภาพการทำงาน สมาร์ทโฟนทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับขุมพลังชิปเซ็ต 5nm AP ที่ทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดีกับ 5G[9] band ทำให้สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้แก่ผู้ใช้ได้อีกด้วย
Samsung Galaxy Z Fold3 5G: ที่สุดของประสิทธิภาพบนสมาร์ทโฟนทั้งด้านการทำงานและความบันเทิง
ดื่มด่ำกับการรับชมคอนเทนต์บนหน้าจอขนาดใหญ่โดยไม่มีจุดรบกวนสายตา ด้วยหน้าจอแสดงผล Infinity Flex ขนาด 7.6 นิ้ว และกล้องใต้จอ (Under display camera) พร้อมเทคโนโลยีการแสดงผลหน้าจอ Eco แบบใหม่ ที่ให้ความสว่างหน้าจอเพิ่มขึ้นถึง 29%[10] แต่ใช้พลังงานลดลง[11] รวมถึงอัตรารีเฟรชหน้าจอที่ 120Hz มอบการแสดงผลที่
ลื่นไหลไวต่อการตอบสนอง ทั้งบริเวณหน้าจอด้านนอกและด้านใน
ทั้งนี้ สำหรับ S Pen ที่ได้เผยโฉมเป็นครั้งแรกร่วมกับสมาร์ทโฟนตระกูล Z Series นี้ เป็น S Pen เวอร์ชั่นใหม่ที่ได้รับการพัฒนามาเพื่อใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้โดยเฉพาะ โดยมาพร้อมกับ 2 ตัวเลือก ได้แก่ S Pen Fold Edition และ S Pen Pro[12] ซึ่งทั้งคู่มาพร้อมหัวปากกาที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อปกป้องหน้าจอด้วยการจำกัดแรงกดลงบนหน้าจอหลักของ Galaxy Z Fold3 5G แต่ยังคงไว้ซึ่งความหน่วงต่ำ (low latency) เพื่อมอบสัมผัสการเขียนที่ลื่นอย่างเป็นธรรมชาติเสมือนปากกาจริง
Flex mode และ Multi-Active Window[13] ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ ถือเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ผู้ซึ่งกำลังมองหาวิธีการทำงานและใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดต้องชื่นชอบ ด้วยความสามารถในการทำกิจกรรมหลายอย่างได้พร้อมกัน
ซึ่งใน Galaxy Z Fold3 5G นี้ ผู้ใช้ยังสามารถใช้งาน App Pair ได้ง่ายขึ้น ผ่านการสร้างปุ่มลัด (Shortcut) เพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชันที่ได้รับการจับคู่ไว้ได้อย่างสะดวกในการใช้งานครั้งต่อไป รวมถึงแถบเมนูใหม่ (Taskbar)[14]
ที่ให้ผู้ใช้สลับการใช้งานระหว่างแอปพลิเคชันได้ทันทีโดยไม่ต้องย้อนกลับไปที่หน้าหลัก (Home screen) ก่อนอีกด้วย
Galaxy Z Flip3 5G: ที่สุดแห่งความลงตัวของสไตล์ ฟังก์ชัน และความสนุกไร้ขีดจำกัด
Galaxy Z Flip3 5G คือสมาร์ทโฟนที่ผู้ใช้สามารถบ่งบอกสไตล์ของตนเองออกมาได้อย่างเต็มที่ ผ่านพาเลทสีสันที่โดดเด่น ดีไซน์อันโฉบเฉี่ยว และฟีเจอร์สุดพรีเมียมมากมาย โดยจอด้านนอก หรือ Cover Screen โฉมใหม่ของ Galaxy Z Flip3 5G มาพร้อมขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 4 เท่า[15] จึงสามารถดูการแจ้งเตือนหรือข้อความต่างๆ ได้ง่ายขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องกางสมาร์ทโฟนออก หรือจะเพิ่มสไตล์ด้วยการเปลี่ยนภาพวอลเปเปอร์ให้แมทช์กับหน้าปัดของ Galaxy Watch4 series ก็สามารถทำได้อย่างลงตัว
Galaxy Z Flip3 5G ยังได้รับการออกแบบมาเพื่อปลดล็อคประสิทธิภาพสูงสุดในการถ่ายภาพด้วยฟีเจอร์กล้องสุดล้ำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการตั้งถ่ายเซลฟี่แบบแฮนด์ฟรีด้วย Flex mode ไปจนถึงการสแนปภาพหรือถ่ายวิดีโออย่างรวดเร็วแม้อยู่ในโหมดพับด้วยฟีเจอร์ Quick Shot
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมหน้าจอที่ลื่นไหลไม่มีสะดุดกับอัตรารีเฟรชเรท 120Hz ที่สามารถปรับได้โดยอัตโนมัติตามลักษณะการใช้งาน[16] พร้อมยังยกระดับช่วงเวลาแห่งความบันเทิงไปอีกขั้นด้วยลำโพงสเตอริโอระบบเสียง Dolby Atmos® และเมื่อใช้งาน Flex Mode ฟีเจอร์แผงควบคุม (Flex Mode Panel) โฉมใหม่จะทำให้ปรากฏคอนเทนต์วิดีโอที่จอด้านบน ในขณะที่ผู้ใช้ยังสามารถปรับค่าต่างๆ เช่น ความสว่างหน้าจอหรือระดับเสียงที่จอด้านล่างได้พร้อมกัน
ปลดล็อกความเป็นไปได้ใหม่กับประสบการณ์บนสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้
เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้อย่างเต็มศักยภาพ ซัมซุงจึงมุ่งเดินหน้าขยายความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น Google, Microsoft และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อพัฒนาประสบการณ์บนแอปพลิเคชันโปรดของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงการประชุมออนไลน์ที่ผสานประสิทธิภาพของ Office และ Microsoft Teams พร้อมปรับรูปแบบได้ตาม Flex Mode โดยเฉพาะอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดให้กับการทำงานบน Microsoft Outlook ด้วยอินเทอร์เฟซแบบ Dual-Pane ทำให้สามารถเช็คอีเมลและพรีวิวการแจ้งเตือนต่างๆ ที่แถบด้านข้างได้พร้อมกัน เช่นเดียวกับบนเดสก์ท็อป และในครั้งนี้ ซัมซุงยังนำเสนอฟีเจอร์ใหม่อย่าง Labs[17] เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มแอปพลิเคชันบนหน้าจอได้มากยิ่งขึ้นตามต้องการอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ซัมซุงยังให้ความสำคัญกับการทำงานของนักพัฒนา ผู้ซึ่งอยู่เบื้องหลังการออกแบบประสบการณ์อันยอดเยี่ยมของสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ โดยการเปิดตัวแพลทฟอร์ม Remote Test Lab (RTL)[18] ให้เหล่านักพัฒนาสามารถสร้างสรรค์แอปพลิเคชัน ติดตั้งและทดสอบระบบได้โดยตรงแบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
Galaxy Buds2: หูฟังไร้สายคุณภาพเสียงระดับพรีเมียม พร้อมดีไซน์ที่ลงตัว
Galaxy Buds2 คือหูฟังไร้สายที่มีขนาดเล็กและมีน้ำหนักเบาที่สุดเท่าที่ซัมซุงเคยมีมา ซึ่งมาพร้อมกับดีไซน์โค้งมนอันเป็นเอกลักษณ์ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อมอบความสบายให้กับผู้ใส่ ทำให้สามารถใช้งานได้ตลอดทั้งวัน รวมถึงยังสามารถทำงานและเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และสมาร์ทวอทช์ในอีโคซิสเต็มของซัมซุงกาแลคซี่ได้อีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลง โทรศัพท์ หรือประชุมออนไลน์ Galaxy Buds2 ก็เพียบพร้อมไปด้วยทุกฟีเจอร์ที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นลำโพงไดนามิกระบบ 2 ทิศทาง ที่มอบคุณภาพเสียงคมชัด เบสนุ่มลึกและเสียงสูงที่ชัดเจน พร้อม Active Noise Cancelling ที่ช่วยตัดเสียงรบกวนภายนอกได้สูงสุดถึง 98%
ในขณะเดียวกัน หากต้องการได้ยินเสียงบรรยากาศโดยรอบ ก็สามารถเลือกปรับ Ambient Sound ได้ถึง 3 ระดับ[19] และหูฟังรุ่นนี้ยังมาพร้อมโซลูชันใหม่ที่สามารถเรียนรู้และจดจำ เพื่อเลือกกันเสียงรบกวนภายนอกได้อย่างชาญฉลาดอีกด้วย ทั้งนี้ ซัมซุงยังได้พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ‘Earbud fit test’ ในแอปพลิเคชัน Galaxy Wearable เพื่อทดสอบการสวมใส่ให้พอดียิ่งขึ้น
รายละเอียดการวางจำหน่าย
ซัมซุงมีความตั้งใจที่จะมอบประสบการณ์อันเป็นเอกลักษณ์ของสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้สู่ผู้ใช้ได้มากยิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาของการนำเสนอสมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy Z Series ในราคาใหม่ โดย Galaxy Z Fold3 5G วางจำหน่ายในราคา 57,900 บาท (256GB) และ 61,900 บาท (512GB) มาในตัวเลือกทั้งหมด 3 สีสุดคลาสสิก ได้แก่ สีดำ Phantom Black, สีเขียว Phantom Green และ สีเงิน Phantom Silver
ในขณะที่ Galaxy Z Flip3 5G วางจำหน่ายในราคา 34,900 บาท (128GB) และ 36,900 บาท (256GB) มาในตัวเลือก 4 สีสุดโมเดิร์น ได้แก่ สีครีม, สีเขียว, สีม่วงลาเวนเดอร์ และ สีดำ Phantom Black เพิ่มความชิคด้วยเคสรุ่นใหม่ที่มาพร้อมห่วงและสายคล้องนิ้ว[20] ซึ่งจะช่วยให้การถือและเปิดใช้งานสมาร์ทโฟนสะดวกยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ซัมซุงยังให้ผู้ใช้เลือกแมทช์สีให้เข้ากับสไตล์ของตัวเองได้มากขึ้นด้วยสีพิเศษ ได้แก่ สีเทา, สีชมพู และสีขาว เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะ Samsung.com[21] เท่านั้น
และสำหรับหูฟังไร้สาย Galaxy Buds2 จะวางจำหน่ายในราคา 3,990 บาท ซึ่งถือเป็นราคาเปิดตัวที่เข้าถึงได้มากที่สุดในไลน์อัป Galaxy Buds ของซัมซุง มาในตัวเลือก 3 สี[22] ได้แก่ สีแกรไฟต์, สีเขียว Olive และ สีม่วงลาเวนเดอร์ พร้อมด้วยอุปกรณ์เสริมสุดเก๋อีกมากมาย[23]
โดยซัมซุงได้เปิดให้จองเป็นเจ้าของ Galaxy Z Fold3 5G | Flip3 5G ก่อนใคร เพียงลงทะเบียนร่วมแคมเปญ First to Unfold ผ่านเว็บไซต์ www.samsung.com/th/unpacked เพื่อนำโค้ดมาซื้อผ่านทาง www.samsung.com/th/zfold3 หรือ www.samsung.com/th/zflip3 ได้แล้วตั้งแต่ตอนนี้ หรือผ่านหน้าร้าน Samsung Experience Store ในวันที่ 12 สิงหาคมเป็นต้นไป จนถึงวันที่ 22 สิงหาคม 2564 เวลา 23.59 น.[24]
โดยผู้ที่สนใจร่วมแคมเปญจะได้รับคูปองเงินสดมูลค่าสูงสุด 9,000 บาท เพื่อใช้แลกซื้อสินค้าหรือส่วนลดทาง samsung.com ในครั้งต่อไป พร้อมรับฟรี บริการ Samsung Care+ 1 ปี มูลค่า 7,089 บาท โดยผู้ที่ลงทะเบียนจะได้รับเครื่อง Galaxy Z Fold3 5G | Flip3 เป็นกลุ่มแรกของประเทศไทยในวันที่ 2 กันยายนเป็นต้นไป รวมถึงยังสามารถแลกเครื่องเก่าเพื่อเป็นส่วนลดได้ด้วยที่ช่องทาง https://www.samsung.com/th/tradeinpromotion/
ปิดท้ายด้วยอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ต่อยอดความสำเร็จจากการเปิดตัวสุดยิ่งใหญ่ถึงสองครั้งที่ผ่านมา คือการจับมือครั้งใหม่ระหว่าง Thom Browne แบรนด์แฟชั่นระดับโลกและซัมซุง โดยทั้งสองแบรนด์ได้ร่วมรังสรรค์คอลเลคชันสุดพิเศษที่ผสมผสานที่สุดแห่งผลงานดีไซน์กับสุดยอดนวัตกรรมอันล้ำสมัยได้อย่างลงตัว
สำหรับกาแลคซี่แฟนชาวไทยที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดการวางจำหน่าย Galaxy Z Fold3 | Flip3 Thom Browne Edition คอลเลคชัน
Thom Browne White สุดลิมิเต็ดจากซัมซุงได้เร็วๆ นี้
สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมของ Galaxy Z Fold3 5G | Flip3 5G และ Galaxy Bud2 ได้ทางwww.samsungmobilepress.com, news.samsung.com/galaxy, www.samsung.com/galaxy หรือทาง https://news.samsung.com/th/
[1] ขนาดหน้าจอวัดตามแนวทแยง โดยหน้าจอหลักของ Z Fold3 มีขนาด 7.6” เมื่อวัดสุดมุมฉาก และ 7.4” เมื่อวัดสุดมุมโค้งมน โดยพื้นที่การแสดงผลจริงอาจมีขนาดเล็กกว่าเนื่องจากมุมโค้งมน
[2] S Pen Fold Edition และ S Pen Pro วางจำหน่ายแยกต่างหาก โดยสามารถใช้งานได้เฉพาะบนหน้าจอหลักของ Z Fold3 เท่านั้น ทั้งนี้ S Pen หรือปากกาสไตลัสรุ่นอื่นๆ ที่ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับ Z Fold3 อาจทำให้หน้าจอได้รับความเสียหายได้
[3] เมื่อเปรียบเทียบกับ Galaxy Z Flip 5G
[4] IPX8 อ้างอิงตามผลการทดสอบว่าสามารถป้องกันเครื่องจากการแช่ในน้ำจืดลึก 1.5 เมตร นานสูงสุด 30 นาที (ไม่รวมถึงน้ำทะเล, น้ำเค็ม หรือน้ำผสมคลอรีนในสระว่ายน้ำทั่วไป) และไม่ป้องกันจากฝุ่นละออง
[5] Polyethylene terephthalate
[6] จากการทดสอบภายใน โดยเปรียบเทียบกับ Galaxy Z Fold2
[7] Flex mode รองรับการกางตัวเครื่องในระดับ 75 – 115 องศา ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการใช้งาน Flex mode แนะนำว่าให้วางสมาร์ทโฟนอยู่กับที่ เพราะการเคลื่อนไหวอาจทำให้เกิดการสั่นซึ่งทำให้ยากต่อการคงองศาที่ต้องการ
[8] ผลลัพธ์ดังกล่าวได้รับการรับรองจาก Bureau Veritas ผู้นำระดับโลกที่มีชื่อเสียงในด้านการตรวจสอบ วิเคราะห์ และการรับรองผลิตภัณฑ์
[9] ต้องการการเชื่อมต่อเครือข่าย 5G ที่เหมาะสมที่สุด โดยอาจจะมีเฉพาะในบางประเทศเท่านั้น กรุณาตรวจสอบกับผู้ให้บริการเครือข่ายสำหรับความพร้อมด้านการใช้งาน ทั้งนี้รายละเอียด ความเร็วในการดาวน์โหลดและสตรีมอาจแตกต่างกันไปตามผู้ให้บริการเนื้อหา การเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์ และปัจจัยอื่นๆ
[10] เมื่อเปรียบเทียบกับ Galaxy Z Fold2
[11] อ้างอิงจากผลการทดสอบภายใน และวัดผลจากการใช้งานหน้าจอแสดงผล
[12] S Pen Pro สามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์ที่รองรับ S Pen (Z Fold3, S21 Ultra, Galaxy Note series, Tab S7 FE, Tab S7/7, Tab S6 Lite, Tab S6, Tab S4, Tab S3, Tab Active Pro, Tab Active3, Tab Active2, Tab Active, Tab A 8.0 2019 พร้อม S Pen, Tab A 10.1 2016 พร้อม S Pen, Tab A 9.7 พร้อม S Pen, Tab A 8.0 2015 พร้อม S Pen, Note Pro – 12.2, Note 8.0, Note 10.1 2012/2014 , Galaxy Book Pro 360, Galaxy Book Flex2, Galaxy Book Flex S Pen, Galaxy Book Flex 5G, Galaxy Book Flex α S Pen, Galaxy Book 10.6, Galaxy Book 12.0, Chromebook Plus V2, Chromebook Pro, โน้ตบุ๊ก 7 สปิน, ปากกาโน้ตบุ๊ก S51 , Notebook 9 Pen, Notebook 9 Pro).
[13] ฟีเจอร์ Multi-Active Window รองรับในบางแอปพลิเคชันเท่านั้น โดยแอปพลิเคชันอยู่ระหว่างการพัฒนาเพิ่มขึ้นโดยเหล่านักพัฒนาภายนอก
[14] ต้องทำการตั้งค่า Labs บนอุปกรณ์ Samsung Galaxy ของผู้ใช้ก่อนเริ่มใช้งาน
[15] เมื่อเปรียบเทียบกับ Galaxy Z Flip 5G
[16] รองรับบนหน้าจอหลักด้านในเท่านั้น
[17] จำเป็นต้องติดตั้ง Labs บนอุปกรณ์กาแลคซี่
[18] www.developer.samsung.com/remote-test-lab
[19] ฟีเจอร์ Active noise canceling และ Ambient sound จำเป็นต้องใช้การเชื่อมต่อบลูทูธ สามารถตั้งค่าเชิงลึกและระดับของ Ambient sound ได้ในแอปพลิเคชัน Galaxy Wearable สำหรับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และแอปพลิเคชัน Galaxy Buds PC สำหรับ Windows โดยแอปพลิเคชัน Galaxy Wearable รองรับบน Android 7.0 ขึ้นไป และความจุ 1.5GB RAM ขึ้น โดยสามารถดาวน์โหลดได้ทาง Galaxy Store หรือ Google Play Store สำหรับแอปพลิเคชัน Galaxy Buds PC รองรับบน Window 10 ขึ้นไป โดยสามารถดาวน์โหลดได้ทาง Microsoft Store.
[20] จำหน่ายอุปกรณ์เสริมแยก
[21] วางจำหน่ายใน 30 ประเทศที่ร่วมรายการบน Samsung.com ตั้งแต่ 11 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป
[22] ตัวเลือกของสีอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
[23] ความพร้อมในการจำหน่ายอุปกรณ์เสริมอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ และผู้ให้บริการเครือข่าย
[24] ชำระค่าสินค้าเต็มจำนวน