ประสิทธิภาพ
Vivo Y72 5G ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ตรุ่นใหม่ Dimensity 700 บนสถาปัตยกรรม 7 นาโนเมตร ประมวลผล Octa-core (2×2.0 GHz Cortex-A77 & 6×1.8 GHz Cortex-A76) หน่วยประมวลผลกราฟิก Mali-G76
ส่วนในแง่การใช้งานจริงถือว่าเป็นสมาร์ตโฟน Mid-Range ระดับกลางค่อนไปทางสูงที่มาพร้อมความลื่นไหล และความแรงในระดับที่นำไปใช้งานทั่วไปและเล่นเกมที่มีกราฟิกหนัก ๆ ได้แบบสบาย ๆ สำหรับเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ก็ให้มาอย่างครบถ้วน อาทิ Gyroscope, Magnetic, Accelerometer ในส่วนของภาครับสัญญาณ GPS พบว่ามีความเร็วและความแม่นยำอยู่ในเกณฑ์ที่น่าประทับใจ
มัลติมีเดียและความบันเทิง
Music Player บน Vivo Y72 5G มาพร้อมจุดเด่นด้าน Software ด้วยฟีเจอร์ DeepField เอฟเฟ็กต์เสียงที่พัฒนาโดย Vivo ทำให้การถ่ายทอดเสียงที่ได้มีความนุ่มลึก คมชัดใสเคลียร์ รองรับการจำลองระบบเสียงรอบทิศทาง 360 องศา อีกทั้งยังปรับแต่งเสียงผ่าน EQ ได้ยืดหยุ่นและตรงใจผู้ใช้งานได้มากยิ่งขึ้น สำหรับคนที่ชื่นชอบการฟังเพลง Vivo Y72 5G นั้นไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน
ในปัจจุบันเราอาจจะไม่ค่อยเห็นสมาร์ทโฟนใส่ FM มาให้ใช้งานเหมือนเมื่อก่อน แต่ทางค่าย Vivo ยังเล็งเห็นความสำคัญของกลุ่มผู้ใช้งานที่ยังชื่นชอบการรับฟังวิทยุ FM จึงไม่แปลกใจที่หลาย ๆ รุ่นยังคงมาพร้อมกับ FM ซึ่งบน Vivo Y72 5G เป็น FM แบบทศนิยมหนึ่งจุด ทีมีภาครับสัญญาณถือว่าคมชัดใช้ได้เลยครับ ส่วนฟีเจอร์ก็ให้มาอย่างครบถ้วน เช่นการบันทึกไว้ฟังในแบบออฟไลน์ภายหลังเป็นต้น
สำหรับ Video Player บน Vivo Y72 5G รองรับการเล่นไฟล์วีดีโอความละเอียด 4K ได้อย่างไหลลื่น แถมยังมีฟีเจอร์ที่ให้ฟิลลิ่งใกล้เคียงกับแอปชื่อดังอย่าง MX Player เช่นการปัดบนหน้าจอฝั่งซ้ายเพื่อปรับระดับความสว่าง และปัดบนหน้าจอฝั่งขวาเพื่อปรับเพิ่ม/ลดระดับเสียงเป็นต้น
ทดสอบการเล่นเกม
เริ่มต้นกันด้วยเกม Call of Duty ที่สามารถปรับตั้งค่า คุณภาพกราฟิก MEDIUM และ เฟรมเรท MEDIUM ในการทดสอบใช้งานจริง พบว่าการเล่นเกมอย่างต่อเนื่อง ไม่พบอาการแลคหรือหน่วงให้หงุดหงิดใจ สามารถเล่นได้ไหลลื่น และมีความเสถียรในระดับที่น่าพึงพอใจมาก ๆ
ต่อกันด้วย PUBG เกม Tactical-FPS สามมิติเต็มรูปแบบ เบื้องต้นสามารถตั้งค่ากราฟิกที่ระดับ HD และเฟรมเรทระดับสูง ซึ่งในการทดสอบจริง ทั้งการเคลื่อนไหว รวมถึงแอคชั่นต่าง ๆ ภายในเกมนั้นให้ความลื่นไหลที่ดีมาก ๆ เรียกว่าเล่นได้ไหลลื่น ไม่พบอาการหน่วงให้หัวร้อนอย่างแน่นอน
ปิดท้ายกันไปด้วย ROV อีกหนึ่งเกมฮิตของบ้านเรา โดยค่าเริ่มต้น ตั้งค่าภาพ HD ในระดับมาตรฐาน การแสดงผลระดับสูง ซึ่งพบว่าสามารถเล่นได้แบบไหลลื่นสมูทสุด ๆ ซึ่งไม่พบอาการแลคหรือหน่วงให้เห็น ส่วนหนึ่งต้องยกความดีให้กับ ชิปเซ็ตและ Firmware ที่ปรับแต่งมาเป็นอย่างดี รวมถึงฟีเจอร์ Ultra-Game Mode ที่ช่วยเพิ่มสมรรถนะให้เหมาะสมกับการเล่นเกมได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ Vivo Y72 5G เป็นสมาร์ทโฟนที่ตอบสนองการเล่นเกมได้อย่างดีเยี่ยมในราคาที่จับต้องได้
ปลดล็อคความเร็วแรงด้วย 5G ในรูปแบบ NSA และ SA
Vivo Y72 5G สามารถใช้งาน 5G ตั้งแต่แกะกล่อง และยังมาพร้อมความโดดเด่นด้วยการรองรับ 5G ในรูปแบบ NSA / SA (Dual-Mode) จึงช่วยทลายข้อจำกัดเดิม ๆ ของการใช้งานเดต้าที่พบความล่าช้าบน 3G / 4G เพราะเทคโนโลยี 5G นอกจากจะให้ความเร็วแรงแล้ว ยังมี latency ที่ต่ำ ช่วยให้การใช้งานมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น สามารถเข้าถึงหรือดาวน์โหลดข้อมูลได้เร็วขึ้น เปิดแอปพลิเคชั่นและใช้งานโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ไม่สะดุดติดขัด รวมถึงการดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมออนไลน์ ก็ให้ประสบการณ์ที่น่าประทับใจกว่าที่เคย ในภาพรวมต้องบอกเลยว่า Vivo Y72 5G นั้นตอบโจทย์การใช้งานได้รอบด้านอย่างแท้จริง
ครั้งแรกบนซีรีส์ Y กับการอัปเกรดทั้งกล้องหน้าและหลัง
Vivo Y72 5G มาพร้อมกับการอัปเกรดครั้งสำคัญ ด้วยการจัดเต็มบนกล้องหลัง 3 เลนส์ AI Triple Camera ความละเอียดสูงถึง 64 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องหน้าให้ความละเอียดมาที่ 16 ล้านพิกเซล ซึ่งถือว่าเป็นการอัปเกรดทั้งกล้องหน้า/หลังเป็นครั้งแรกบนซีรีส์ Y อีกด้วย
ทดสอบกล้องหน้า/หลัง
ครั้งแรกบนซีรีส์ Y กับการอัปเกรดทั้งกล้องหน้าและหลัง
Vivo Y72 5G มาพร้อมกับการอัปเกรดครั้งสำคัญ ด้วยการจัดเต็มบนกล้องหลัง 3 เลนส์ AI Triple Camera ความละเอียดสูงถึง 64 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องหน้าให้ความละเอียดมาที่ 16 ล้านพิกเซล ซึ่งถือว่าเป็นการอัปเกรดทั้งกล้องหน้า/หลังเป็นครั้งแรกบนซีรีส์ Y อีกด้วย
Vivo Y72 5G ยังคงมาพร้อม User Interface หรือหน้าตาเมนูกล้อง ที่เหมือนรุ่นพี่ในซีรีส์ Y โดยมุมขวาบนของเมนูกล้องจะแสดงไอคอนรูปม่านชัตเตอร์ ซึ่งตรงนี้จะเป็นเมนูทางลัดเพื่อเข้าถึงโหมด Ultra wide angle, Bokeh, และ Super macro
ส่วนด้านบนของเมนูจะเป็นไอคอนที่เข้าถึงฟีเจอร์ต่าง ๆ ของกล้อง อาทิเช่น เปิด/ปิดการใช้งานแฟลช, โหมด HDR, Filter, อัตราส่วนของภาพ และการตั้งค่าโดยรวมของกล้อง
ครั้งแรกบนซีรีส์ Y ที่ให้กล้องหน้าความละเอียดถึง 16 ล้านพิกเซล โดยมาพร้อมค่ารูรับแสง f/2.0 ที่ให้ความคมชัดและขับเคลื่อนด้วย AI หรือปัญญาประดิษฐ์อันชาญฉลาด โดยจุดขายยังคงเป็น AI Face Beauty ที่สามารถวิเคราะห์เพศและใบหน้า พร้อมปรับแต่งให้ภาพถ่ายเซลฟี่ออกมาสวยงามตรงใจผู้ใช้งานโดยไม่ต้องเสียเวลามาปรับแต่งในภายหลัง และยังมีโหมด 3D Face Shaping ที่สามารถปรับแต่งการเซลฟี่ให้ยืดหยุ่นและตรงกับความต้องการของเราได้มากที่สุด เช่นปรับผิวนวลกระจ่างใส, ปรับโครงสร้างใบหน้า, ปรับให้ดวงตากลมโต, ริมฝีปากอิ่ม, จมูกเรียวโด่ง, คางเรียว เป็นต้น
ทดสอบกล้องหน้า
ทดสอบกล้องหน้าในโหมด Auto ซึ่งยังคงรักษามาตรฐานที่ดีของค่าย Vivo ได้อย่างครบถ้วน ทั้งเรื่องของความคมชัด ไวท์บาลานซ์ที่แม่นยำ และถ่ายทอดความเป็นธรรมชาติของภาพออกมาได้อย่างลงตัวอีกด้วย
AI Face Beauty
สำหรับโหมด AI Face Beauty ใน Portrait Mode ตัวระบบ AI จะคำนวนความเหมาะสมให้เข้ากับใบหน้าของเราโดยอัตโนมัติ โดยภาพที่ถ่ายด้วยโหมด AI จะให้โทนภาพที่ดูลงตัวเป็นธรรมชาติและใช้งานง่าย เพราะจะให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกันในทุกสถานการณ์
ทั้งนี้โหมด Beauty สามารถตั้งค่าระดับความสวยงามได้แบบอัตโนมัติ และตั้งค่าแบบกำหนดเองได้ตั้งแต่ 0-100 ระดับ
Super Quadruple Beauty Mode ผู้ใช้งานยังสามารถปรับแต่งในโหมดบิวตี้ได้อย่างยืดหยุ่น เช่นปรับให้ผิวขาวนวล ปรับสกินโทนของสีผิว ปรับให้ใบหน้าเรียวบาง, ปรับแต่งภาพรวมโครงสร้างใบหน้า, กราม, ปรับให้ดวงตากลมโต, ดวงตาเรียวยาว, ปรับแต่งรูปแบบของจมูกและริมฝีปากเป็นต้น ซึ่งฟีเจอร์นี้จะช่วยให้การถ่ายเซลฟี่เป็นเรื่องสนุก และให้ผลลัพธ์ที่ตรงใจแก่ผู้ใช้งานได้มากที่สุดนั่นเอง
สำหรับรูปนี้ได้ทำการปรับให้ดวงตานางแบบดูกลมโตขึ้น เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างจากภาพทางด้านบนนั่นเอง
สำหรับ โหมด Portrait จะมีสไตล์มาให้ใช้งาน 3 รูปแบบ ประกอบไปด้วย “ค่าเริ่มต้น สดชื่น และภาพยนต์”
โหมด Portrait พร้อมเปิดใช้งาน AI Face Beauty และ Bokeh effect
มีฟิลเตอร์ให้ใช้งานอย่างหลากหลาย ซึ่งช่วยให้การถ่ายเซลฟี่มีความน่าตื่นตาตื่นใจ และยังสามารถแชร์ไปยังโซเชี่ยลต่าง ๆ ได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลามาตกแต่งผ่านแอปในภายหลังอีกด้วย
Portrait light effect
ฟีเจอร์ Portrait light effect จะช่วยเสริมให้การถ่ายภาพบุคคลมีความน่าตื่นตาตื่นใจ โดยจะให้ฟิลลิ่งที่แปลกใหม่โดยไม่ต้องพึงพาอุปกรณ์เสริม ตัวอัลกอริทึม AI ของ Vivo 31 จะปรับภาพใบหน้าสองมิติให้กลายเป็นสามมิติ และปรับแสงที่ใบหน้า ให้ภาพออกมามีความโดดเด่น ซึ่งเราสามารถเลือกเอฟเฟ็กต์ได้ทั้งแบบ 5 รูปแบบประกอบด้วย Natural light, Studio light, Stereo light, Loop light, Rainbow light, และ Monochrome background
AR Stickers
AR Stickers การใส่อีโมจิหรือสติ๊กเกอร์ 3D น่ารัก ๆ ฟรุ้งฟริ้ง มุ้งมิ้งลงไปในรูปถ่ายของเรา โดยรองรับการทำงานทั้งกล้องหน้าและหลัง สามารถบันทึกเป็นไฟล์ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ทั้งนี้โหมด AR Selfie สามารถที่จะดีเทคตรวจจับภาพใบหน้าได้มากกว่า 1 ใบหน้าพร้อมกัน ทำให้เมื่อเราถ่ายเซลฟี่กับเพื่อน ๆ ตัวกล้องก็จะใส่ AR Stickers ให้เพื่อนที่อยู่ในเฟรมของเราด้วย
Pose Master
ฟีเจอร์นี้มีหลักการทำงาน ด้วยการแสดงตัวอย่างไกด์ไลน์ในการแอคติ้ง หรือการโพสท่าทางนั่นเอง โดยจะมีเส้นประแสดงควบคู่กับภาพแอคติ้งตัวอย่าง ซึ่งผู้ใช้งานเพียงแค่ให้แบบแสดงท่าทางตามตัวอย่างและจัดองค์ประกอบให้แบบเข้าไปอยู่ในเส้นประ เพียงเท่านี้เราก็จะได้ภาพถ่ายที่สวยโดนใจไม่แพ้การโพสท่าจากนางแบบ นายแบบมืออาชีพกันเลยทีเดียว ฃ
ฟีเจอร์ Pose Master สามารถใช้งานได้ทั้งกล้องหน้าและหลัง