คลังเก็บ

รีวิว vivo X80 Series 5G สุดยอดเรือธง Camera Phone เปิดนิยามใหม่ถ่ายวิดีโอระดับมืออาชีพ ด้วยเทคโนโลยีจาก ZEISS พร้อมสเปคจัดเต็มตอบทุกโจทย์การใช้งาน !!!

ไฮไลท์ฟีเจอร์เด่น vivo X80 Series

vivo Pro Imaging Chip V1+

vivo X80 Pro 5G ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ตระดับเรือธง Snapdragon® 8 Gen 1 ที่ผลิตบนสถาปัตยกรรมขนาด 4 นาโนเมตร พร้อมหน่วยประมวลผลกราฟิก Adreno 730 ให้ประสิทธิภาพการทำงาน การเล่นเกมและการประมวลผลกราฟิกที่ดีขึ้น โดยเมื่อเทียบกับ Snapdragon® 888 ตัว CPU มีประสิทธิภาพสูงขึ้น 20% การแสดงผลกราฟิกเร็วขึ้น 30%

และยังมาพร้อม vivo Pro Imaging Chip V1+ ชิปที่ปรับแต่งเองจาก vivo โดยออกแบบมาเพื่อเพิ่มการแสดงผลและกราฟิกเกมบนสมาร์ตโฟนไปสู่อีกระดับ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการถ่ายวิดีโอในเวลากลางคืนและการแสดงผลวิดีโอที่โดดเด่นแม้ในสภาพแสงที่น้อย

สำหรับ vivo X80 5G มาพร้อม MediaTek Dimensity 9000 (4 nm) ในแง่ performance จะให้ประสิทธิภาพและการจัดการด้านพลังงานที่สูงขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าถึง 40% ส่วนการแสดงผลกราฟิกเร็วขึ้น 20% และมีประสิทธิภาพของ AI สูงขึ้นถึง 35%

อีกทั้งยังยกระดับประสิทธิภาพไปอีกขั้นด้วยหน่วยความจำภายในแบบ UFS 3.1 ผสานเข้ากับเทคโนโลยี Extended RAM ทำให้สามารถอัปเกรดหน่วยความจำ 12GB+4GB รวมเป็น 20GB ซึ่งเป็นการนำพื้นที่จัดเก็บข้อมูลภายในตัวเครื่อง (ROM) ส่วนหนึ่งมาจัดสรรเพื่อใช้ร่วมกับ RAM หลัก หรือที่เรารู้จักในชื่อ Virtual Memory มอบความเร็วระดับสูงในการติดตั้งแอป การเริ่มแอป การทำงานของไฟล์แคช รวมไปถึงการอ่านและเขียนข้อมูลไฟล์ขนาดใหญ่  รวมถึงยังจัดการด้านพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผู้ใช้งานสามารถเพลิดเพลินไปกับการใช้งานยาวนานต่อเนื่องโดยไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่อีกด้วย

X80 Pro มาพร้อมระบบระบายความร้อนที่ยอดเยี่ยมผ่าน VC (Vapor Chamber) ขนาดใหญ่ที่ 4,285 มม. ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า X70 ถึง 76% พร้อมกับแผ่นระบายความร้อนกราไฟท์ที่ใหญ่ขึ้น 84% ทำให้โทรศัพท์เย็นและอัตราเฟรมคงที่แม้ในเกมขนาดใหญ่ ให้คุณเล่นได้ไม่สะดุดท่ามกลางความร้อนระอุของสนามรบ

New In-Display Fingerprint Scanning

vivo เป็นค่ายแรกที่นำเสนอ “นวัตกรรม In-Display Fingerprint Scanning” หรือการฝังเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ภายในจอแสดงผล ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการอัพเกรดและพัฒนาตัวเซนเซอร์ให้มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น โดยเจนเนอเรชั่นล่าสุดมีการอัพเกรดตัวเซนเซอร์ใหม่แบบ 3D Ultrasonic (เฉพาะ X80 Pro)  จึงส่งผลให้การทำงานมีความรวดเร็วแม่นยำที่ดีมากยิ่งขึ้น 

สำหรับฟีเจอร์ In-Display Fingerprint Scanning บน vivo X80 Pro รองรับการบันทึกลายนิ้วมือได้สูงสุดที่ 5 ลายนิ้ว และนอกจากนี้ยังมี Effect ในขณะปลดล็อกหน้าจอที่เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ถึง 11 รูปแบบ รวมถึงสามารถเปลี่ยนไอคอนที่แสดงบนหน้าจอได้อีก 2 รูป ซึ่งจะช่วยเสริมให้ขณะใช้งานดูมีความน่าตื่นตาตื่นใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

นอกจากอัปเกรดในส่วนของตัวเซนเซอร์ใหม่แบบ 3D Ultrasonic (เฉพาะ X80 Pro) ในด้าน Software ก็มีการปรับปรุงให้ใช้งานได้ยืดหยุ่นและเต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งการเลือกขนาดพื้นที่ปลดล็อกลายนิ้วมือ การยืนยันด้วยสองนิ้ว และการเข้าถึงแอปได้อย่างรวดเร็วบนหน้าจอล็อก 

ส่วนระบบ Face Unlock บน vivo X80 Pro 5G และ X80 5G มีความรวดเร็วแม่นยำไม่แพ้ระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ และยังสามารถทำงานได้ดีแม้ในที่แสงน้อยหรือในที่มืดได้โดยไม่มีปัญหา และมี Effect ในขณะปลดล็อกหน้าจอที่เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ถึง 5 รูปแบบ อีกทั้งยังสามารถใช้งานร่วมกับระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือได้เป็นอย่างดี ทำให้มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการปลดล็อกที่ผสานทั้ง 2 ระบบเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว

2K E5 Ultra Vision Screen

vivo X80 Pro 5G มาพร้อมหน้าจอโค้งดีไซน์สวยงามแบบ 3 มิติ ชนิด LTPO AMOLED E5 ใหญ่สบายตาในขนาด 6.78 นิ้ว บนความละเอียด WQHD+ 3200×1440 พิกเซล (4517 ppi)  มาพร้อมฟีเจอร์ในระดับเรือธง อาทิ รองรับอัตรารีเฟรชเรท 120Hz ความไวตอบสนองการสัมผัสสูงสุด 300Hz อัตราคอนทราสต์: 8000000:1, ความสว่างสูงสุด 1,500nits  รองรับการแสดงสีได้ถึง 1.07 พันล้านสี (10bit )

พร้อมมอบประสบการณ์ความบันเทิงขึ้นไปอีกขั้นด้วยอัตราการรีเฟรชสูงถึง 120Hz รองรับเทคโนโลยี HDR10+ และ Hi-Res Certification ให้ผู้ใช้งานได้เพลิดเพลินไปกับหน้าจอแสดงผลที่ชัดเจนและสบายตาพร้อมระบบเสียง Hi-Res ได้อย่างสมจริง และยังสามารถตั้งค่าการแสดงผลได้อย่างยืดหยุ่น พร้อมตอบทุกโจทย์การใช้งานได้อย่างลงตัว 

นอกจากนี้ X80 Pro 5G ยังมาพร้อมดีไซน์หน้าจอ 2K E5 super-sensing ที่ได้รับรางวัลการออกแบบจากสถาบัน DisplayMate ในระดับ A+ และรางวัล SGS Eye Care Display ให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสดีไซน์หน้าจอแบบใหม่ที่ดีเยี่ยม และยังช่วยปกป้องดวงตาของผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย แม้จะใช้งานต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนานก็ตาม 

ปลดล็อคความเร็วแรงด้วยเครือข่าย 5G ในรูปแบบ NSA และ SA 

vivo X80 Series 5G รองรับ 5G แบบ SA และ NSA (Non-Standalone) โดยมีหลักการทำงานโดยใช้อุปกรณ์ร่วมกับเทคโนโลยี 4G LTE ซึ่งช่วยในเรื่องของการลดต้นทุน และสามารถใช้งานได้ทันทีในปัจจุบัน

ส่วน SA (Standalone) จะเป็นการอัปเกรดอุปกรณ์ใหม่ทั้งหมด เพื่อให้รองรับเทคโนโลยี 5G โดยเฉพาะ ซึ่งจะให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่า ทั้งในเรื่องความเร็ว, latency,  แบนด์วิธ และความเสถียร อีกทั้งยังรองรับอนาคตที่เทคโนโลยี 5G จะเปลี่ยนเป็น SA ทั้งหมด จึงตอบโจทย์การใช้งานได้ดีกว่าสมาร์ตโฟนที่รองรับ NSA เพียงแบบเดียวนั่นเอง 

และความพิเศษของ vivo X80 Series 5G ก็คือสามารถเลือกโหมดเครือข่าย 5G ได้ทั้งแบบอัตโนมัติ , NSA หรือ SA ได้อย่างอิสระ 

vivo X80 Pro 5G มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4700mAh ส่วน X80 5G มีความจุ 4500mAh ซึ่งทั้งคู่ให้แบตเตอรี่แรงดันสูงและมีขนาดบางเบา โดยทั้งสองรุ่นรองรับชาร์จไว Fast charging 80W โดย vivo X80 Pro 5G สามารถชาร์จจาก 0 ถึง 70% ได้ในเวลา 19 นาที และจาก 0 ถึง 100%  ในเวลา 35 นาที

นอกจากนี้ vivo X80 Pro 5G ยังรองรับการชาร์จไร้สาย 50W Wireless FlashCharge พร้อมฟีเจอร์ Reverse Charging ที่สามารถแปลงร่างเป็นพาวเวอร์แบงค์เพื่อชาร์จไร้สายแบบย้อนกลับให้สมาร์ตโฟนหรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่รองรับการชาร์จไฟแบบไร้สาย ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตวอทช์หรือเคสหูฟัง

ซึ่งเมื่อมองในภาพรวมต้องบอกว่ารอบนี้ vivo X80 Series ได้อัพเกรดไปอีกขั้น ทั้งฟีเจอร์และขนาดความจุที่เพิ่มขึ้นรวมถึงยังสามารถชาร์จได้เร็วขึ้นจาก X70 Series อีกด้วย

ซอฟต์แวร์และฟีเจอร์

vivo X80 Pro Series มอบความลื่นไหลกว่าเดิมด้วย Funtouch OS 12  บนพื้นฐานของ Android 12 โดยระบบปฏิบัติการ Funtouch OS 12  นำเสนอชุดไอคอนและวิดเจ็ตใหม่ที่สร้างสรรค์ ซึ่งจะแสดงแอปพลิเคชันที่ใช้เป็นประจำ และยังช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งานโดยที่ไม่ต้องกดเปิดแอปพลิเคชัน สามารถสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น 

นอกจากนี้ vivo X80 Pro Series ยังมาพร้อม Nano Music Player ที่มอบประสบการณ์การฟังเพลงได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น ด้วยการรองรับ Spotify เพียงคลิกเดียวเพื่อดำดิ่งสู่โลกแห่งเสียงเพลง ( และรองรับ Joox สำหรับในบางพื้นที่ที่รองรับ) Nano Music Player เปลี่ยนเพลงได้ทุกเมื่อที่ต้องการ และการสตรีมจะไม่หยุด สามารถสลับการใช้งานได้อย่างอิสระ รวมถึงการดาวน์โหลดในเครื่องและเครื่องเล่นเพลงอื่น ๆ บนหน้าจอหลักได้อย่างสนุกและง่ายดาย

ทั้งนี้ผู้ใช้งานสามารถปรับเปลี่ยนธีม หรือภาพพื้นหลังรวมถึงรูปแบบตัวอักษรได้ตามสไตล์การใช้งาน พร้อมทั้งตั้งค่ารูปแบบ Home Screen ได้ตามไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบ และยังสติ๊กเกอร์ที่สามารถแสดงการบันทึก เตือนความจำ คำคมสร้างแรงบันดาลใจ และอีกมากมาย เพื่อให้ผู้ใช้งานไม่พลาดข้อมูลสำคัญอีกต่อไป อีกทั้งยังสามารถปรับแต่งสี และรูปภาพพื้นหลัง เพื่อทำให้หน้าจอหลักดูมีเอกลักษณ์ในสไตล์ของตนเอง

Jovi Home

เมื่อเลื่อนหน้าจอจากด้านซ้ายไปยังด้านขวาของหน้าโฮมเพจ จะเข้าสู่ Jovi Home ซึ่งเป็นหน้าหลักที่รวบรวมแอปพลิเคชันทั้งหมดไว้ด้วยกัน พร้อมการออกแบบสไตล์การ์ดที่ใช้งานง่าย โดยมีไฮไลท์ที่น่าสนใจดังนี้ 

Shortcuts – ทางลัดที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึง แอปพลิเคชันการล้างพื้นที่เครื่อง เครื่องคิดเลข ล็อกแอปพลิเคชัน และอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว

Suggestions – คำแนะนำที่สามารถแจ้งเตือนอัจฉริยะสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน เช่นเวลาพักผ่อน และการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

My Services – สามารถปรับแต่งตามความสนใจของคุณ เช่น เกี่ยวกับการแข่งขันกีฬา ข้อมูลด้านสุขภาพ การออกกำลังกาย หรือคำแนะนำเกี่ยวกับการดื่มน้ำ และการพยากรณ์อากาศ

Dynamic Effects จะช่วยเสริมการใช้งานสมาร์ตโฟนของเราให้ดูน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งขึ้น โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกเอฟเฟกต์สำหรับการตั้งค่าภาพเคลื่อนไหวเช่นเอฟเฟกต์จดจำใบหน้า และการชาร์จเป็นต้น

ฟีเจอร์ EasyShare ถ่ายโอนข้อมูลได้อย่างสะดวกรวดเร็ว

โดย EasyShare ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายโอนข้อมูลจากโทรศัพท์เครื่องเก่าไปยังเครื่องใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และเต็มเปี่ยมประสิทธิภาพ หมดปัญหาข้อมูลหายหลังจากเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่อีกต่อไป

Dark Mode ฟีเจอร์ที่จะช่วยให้การใช้งานในตอนกลางคืนเป็นไปอย่างราบรื่น และส่งผลดีต่อสุขภาพดวงตาของผู้ใช้งาน โดยหลักการทำงานของฟีเจอร์ Dark Mode จะเปลี่ยนพื้นหลังให้เป็นสีดำ เพื่อการใช้งานในสภาพแวดล้อมในที่แสงน้อยได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งช่วยทั้งเรื่องของการประหยัดพลังงาน พร้อมถนอมสายตา และก่อให้เกิดความผ่อนคลายแก่ผู้ใช้งานอีกทางหนึ่งด้วย

(Dark Mode สามารถใช้งานได้กับบางแอปฯ)

vivo X80 Pro 5G มาพร้อมฟีเจอร์ด้าน Network และการโทรที่มีความโดดเด่นด้วยการรองรับเทคโนโลยี 5G ในแบบ dual mode SA&NSA / VoNR และรองรับ 5G+5G dual SIM standby รวมไปถึงยังรองรับการโทรผ่าน Wi-Fi และ Dual VoLTE ที่สามารถเปิด VoLTE ได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิม ทำให้การโทรผ่านสัญญาณที่มีความเร็วสูง มีความคมชัดมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถใช้งานด้านการโทรควบคู่ไปกับการใช้งาน Data ได้อย่างราบรื่นอีกด้วย

สำหรับปุ่มนำทาง สามารถปรับตั้งค่าให้เหมาะกับความถนัดของเราได้ตามที่ต้องการ นอกจากนี้ยังมี Full Screen gesture ที่มาพร้อมฟีเจอร์สั่งการง่าย ๆ และสามารถใช้งานจอแสดงผลได้แบบเต็ม 100%

โดย Navigation gestures เป็นฟีเจอร์ที่ใช้การสไลด์นิ้วบนหน้าจอแสดงผลแทนการกดปุ่ม navigation เพื่อให้เหลือพื้นที่การใช้งานที่มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้ผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ว่าจะใช้รูปแบบการสั่งการแบบไหน เช่นการลากจากขอบด้านล่างจากตำแหน่งตรงกลาง เพื่อกลับไปที่หน้าโฮม ซึ่งก็เหมือนการกดที่ปุ่มโฮมนั่นเอง

โหมดใช้งานมือเดียวและการจับภาพหน้าจอที่มีความหลากหลาย สำหรับการจับภาพหน้าจอก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์พิเศษของ vivo โดยสามารถจับภาพหน้าจอได้ยืดหยุ่นมาก ๆ ทั้งการลาก 3 นิ้วขึ้นไปจากหน้าจอแสดงผล

รวมไปถึงการจับภาพหน้าจอแบบยาวๆ หรือรูปแบบอิสระ อีกทั้งยังบันทึกหน้าจอในรูปแบบของวิดีโอได้อีกด้วย และอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ขาดไม่ได้ก็คือแอพโคลน ที่รองรับการใช้งานแอปพลิเคชันโซเชียลยอดนิยม เช่น Line, Facebook หรือ Instagram ฯลฯ ได้พร้อม ๆ กันถึง 2 แอคเคาท์ในเครื่องเดียว

สำหรับโหมดการใช้งานอัจฉริยะ เป็นฟีเจอร์ที่มีให้ใช้งานมาอย่างยาวนานบนสมาร์ตโฟนของ vivo ซึ่งฟีเจอร์เหล่านี้ก็คือการทำงานร่วมกับพวกเซนเซอร์ต่าง ๆ โดยเป็นการอำนวยความสะดวกในการใช้งานเป็นหลัก เช่น วาดตัวอักษรบนหน้าจอเพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชัน, ปลดล็อกด้วยการโบกมือผ่านหน้าจอ การแจ้งเตือน การรับสายหรือเปลี่ยนเป็นโหมดแฮนด์ฟรีอัตโนมัติ ฯลฯ

Picture-in-Picture  ฟีเจอร์ยอดนิยมที่มีมาให้ใช้งานอย่างยาวนาน ก็คือโหมดการแบ่งหน้าต่างเพื่อใช้งาน 2 แอปพลิเคชันไปพร้อม ๆ กัน เช่นแชทไปด้วยพร้อมดู YouTube ในขณะเดียวกัน ฟีเจอร์นี้จึงช่วยให้การทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้อย่างไร้กังวลมากขึ้น

ซึ่งบน vivo X80 Series นั้นเรียกใช้งานการแบ่งหน้าจอได้ง่าย ๆ เพียงลาก 3 นิ้วจากด้านล่างขึ้นไปยังด้านบนของจอแสดงผล ก็จะสามารถใช้งาน 2 แอปฯในหนึ่งหน้าจอได้ในทันที

ฟีเจอร์ในด้านความปลอดภัยก็ถือว่าจัดเต็มโดย บน vivo X80 Series มาพร้อมฟีเจอร์ที่ช่วยป้องกันการใช้งานในภาพรวมได้อย่างครอบคลุม ทั้งข้อมูลส่วนตัวการเข้ารหัสแอป ตู้เซฟไฟล์ การล็อกซิมการ์ด และฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถปรับตั้งค่าได้อย่างยืดหยุ่น ทำให้ผู้ใช้งานอุ่นใจและมีความปลอดภัยสูงสุด และยังเพิ่มการป้องกันอีกขั้นสำหรับโทรศัพท์ของผู้ใช้งาน โดยเมื่อตั้งค่ารหัสผ่านเพื่อปลดล็อกโทรศัพท์ จะต้องป้อนรหัสผ่านเพื่อปิด ซึ่งวิธีนี้จะป้องกันไม่ให้โทรศัพท์ที่ถูกขโมยของคุณถูกปิด เพิ่มโอกาสในการค้นหาโทรศัพท์ให้ได้กลับคืนมามากขึ้น

มี IR Blaster หรือ อินฟาเรตพอร์ตที่ใช้ในการเป็นรีโมทควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ผ่านทางแอป รีโมทอัจฉริยะ ซึ่งรองรับอุปกรณ์ไฟฟ้าหลากแบรนด์หลากหลายประเภท 

ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพและปลอดภัย ด้วยผู้ช่วยอัจฉริยะ iManager ที่มาพร้อมความสามารถครบครัน สามารถตรวจสอบความปลอดภัยสมาร์ตโฟนของคุณทั้งสแกนไวรัส และระบุไฟล์ที่เป็นอันตรายต่อสมาร์ตโฟน รวมทั้งยังมาพร้อมความสามารถอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการลบไฟล์ขยะ, ระบายความร้อน, สำรองข้อมูล, และจัดการด้านพลังงานเป็นต้น

ปิดท้ายกันไปด้วยการจัดสรรพลังงาน โดยในภาพรวม vivo X80 Series บริการจัดการพลังงานได้น่าประทับใจ ซึ่งถ้าเป็นการใช้งานทั่วไปสามารถใช้งานได้ครบวันแบบสบาย ๆ ส่วนหนึ่งต้องยกความดีให้แบตเตอรี่ความจุสูงทำให้สามารถใช้งานได้ยาวนาน รวมถึงเทคโนโลยี AI ประหยัดพลังงาน และ Firmware ที่ปรับแต่งมาให้สามารถจัดสรรพลังงานได้อย่างเหมาะสม

ส่วนถ้าใครเน้นเล่นเกมหรือใช้งานหนัก ๆ ตลอดทั้งวัน ก็ไม่ต้องซีเรียสเพราะ vivo X80 Series รองรับชาร์จไวด้วยเทคโนโลยี FlashCharge 80W ไม่ว่าจะถ่ายรูป ฟังเพลงหรือเล่นเกม ก็พร้อมให้คุณใช้งานได้ตลอดเวลา

อ่านต่อหน้า 3