Vivo X50 Pro 5G คือกล้องหลังที่มาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ Gimbal รุ่นแรกในโลก
X50 Pro ใช้เทคโนโลยีกล้อง Gimbal ที่มาพร้อมกับการกันสั่น Double-ball โดยใช้หลักชดเชยการสั่นไหวจากการใช้งาน เพื่อให้ได้ภาพสามมิติแบบยืดหยุ่นครอบคลุมการสั่นไหวได้มากกว่า OIS ถึง 300% ทำให้ได้ภาพถ่ายที่ชัดเจน และวิดีโอที่มีความเสถียรภาพมากขึ้น
สำหรับกล้องหลังจัดเต็มสุดคมชัดด้วย AI Quad Camera 48 ล้านพิกเซล มาพร้อมชิ้นเลน์คุณภาพสูง โดยมีรายละเอียดดังนี้
- เลนส์หลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.6 เซ็นเซอร์ IMX598 แบบ 7 ชิ้นเลนส์ พร้อมระบบกันสั่น gimbal OIS
- เลนส์ portrait 50mm ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.46, 2x optical zoom
- เลนส์ periscope telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/3.4 OIS, 5x optical zoom
- เลนส์ ultrawide มุมกว้าง 120˚ ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2
ฝั่งขวามือของตัวเครื่องจะมีปุ่มเพิ่ม-ลดระดับเสียงและปุ่มพาวเวอร์และเส้นเสาอากาศที่มุมบนและล่าง ส่วนฝั่งซ้ายจะเรียบ ๆ ไม่มีปุ่มหรือพอร์ตใด ๆ แต่จะมีเส้นเสาอากาศเหมือนฝั่งขวา
ด้านบนออกแบบในสไตล์ Choker หรือสร้อยคอ โดยมีการเว้าเป็นร่องเพื่อเพิ่มมิติให้ตัวเครื่อง และสลักตัวอักษรเรืองแสง 5G พร้อมข้อความกำกับที่ขับเน้นเรื่องกล้องอันเป็นจุดขายของ Vivo X50 Pro 5G นั่นเอง และนอกจากนี้ที่ฝั่งขวายังมีไมค์ตัดเสียงรบกวนและทำหน้าที่ในการบันทึกเสียงอีกด้วย
ด้านล่างประกอบไปด้วย ช่องถาดซิมการ์ด., ไมค์สนทนา, พอร์ต Type-C, ลำโพงหลักของตัวเครื่อง, และเส้นเสาอากาศ สำหรับลำโพงหลัก แม้จะเป็นแบบโมโน แต่ให้คุณภาพเสียงที่ดีมาก ๆ ทั้งเรื่องความดัง เสียงย่านต่ำและมิติของเสียงที่ตอบโจทย์ด้านความบันเทิงได้อย่างดีเยี่ยม
ตัวถาดซิมของ Vivo X50 Pro 5G เป็นแบบ Dual Slot ที่รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด แบบนาโนซิม แต่ไม่รองรับหน่วยความจำภายนอก
ไฮไลท์ฟีเจอร์เด่นบน Vivo X50 Pro 5G
Vivo X50 Pro 5G มาพร้อม 5G แบบใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องรออัพเดตเฟิร์มแวร์ ในภาครับสัญญาณมีความโดดเด่นด้วยกาวรวางเสาสัญญาณแบบรอบตัวเครื่อง 3D Surround Antenna Sytem จึ่งส่งผลให้การรับสัญญาณ 5G ทำได้ดีและมีความเสถียรในขณะใช้งาน
คุณภาพโครงข่าย 5G ขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย ทั้งพื้นที่ ผู้ให้บริการ และแพ็กเกจที่เลือกใช้
Vivo เป็นค่ายแรกที่นำเสนอนวัตกรรม In-Display Fingerprint Scanning หรือการฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ภายในจอแสดงผล ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการอัพเกรดและพัฒนาตัวเซ็นเซอร์ให้มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น โดยเจนเนอเรชั่นล่าสุดมีการอัพเกรดตัวเซ็นเซอร์ใหม่แบบ 3 ชิ้นเลนส์ จึงส่งผลให้การทำงานมีความรวดเร็วแม่นยำที่ดีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับค่ายอื่น ๆ ต้องบอกเลยว่าการปลดล็อคนั้นมีความเร็วที่เหนือกว่าแบบสัมผัสได้จริง
สำหรับฟีเจอร์ In-Display Fingerprint Scanning บน Vivo X50 Pro 5G รองรับการบันทึกลายนิ้วมือได้สูงสุดที่ 5 ลายนิ้ว และนอกจากนี้ยังมี Effect ในขณะปลดล็อกหน้าจอที่เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ถึง 8 รูปแบบ รวมถึงสามารถเปลี่ยนไอคอนที่แสดงบนหน้าจอได้อีก 4 รูป ซึ่งจะช่วยเสริมให้ขณะใช้งานดูมีความน่าตื่นตาตื่นใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ส่วนระบบ Face Unlock บน Vivo X50 Pro 5G มีความรวดเร็วแม่นยำ ไม่แพ้ระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ และยังสามารถทำงานได้ดีแม้ในที่แสงน้อยหรือในที่มืดได้โดยไม่มีปัญหา และมี Effect ในขณะปลดล็อกหน้าจอที่เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ถึง 5 รูปแบบ อีกทั้งยังสามารถใช้งานร่วมกับระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือได้เป็นอย่างดี ทำให้มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการปลดล็อกที่ผสานทั้ง 2 ระบบเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
Ultra O Screen Display
Vivo X50 Pro 5G มาพร้อมวัสดุ E3 OLED รุ่นใหม่คุณภาพสูงบนพาเนล Super AMOLED โดยมีหน้าจอขนาด 6.56 นิ้ว ที่ใหญ่เต็มตา พร้อมอัตราส่วนของหน้าจอต่อบอดี้สูงถึง 92% มีค่า High contrast 6,000,000:1 ให้ความสว่างถึง 1300nit และรองรับขอบเขตสีตามมาตรฐาน DCI-P3 ได้สูงถึง 100% จึงให้สีสันที่สวยงามสมจริง และยังมาพร้อมกับอัตราส่วนขนาดใหม่ 20:9 ที่พร้อมตอบโจทย์ด้านการรับชมคอนเทนต์และการเล่นเกมได้เต็มอรรถรสมากยิ่งขึ้น
และยังโดดเด่นด้วยอัตราการรีเฟรชหน้าจอ 90Hz และอัตราการตอบสนองสูงถึง 180Hz ส่งผลให้หน้าจอจะตอบสนองเร็วขึ้นสองเท่าและรีเฟรชได้เร็วขึ้น เพื่อให้การใช้งานราบรื่น นอกจากนี้ยังเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานผ่านเทคโนโลยี VEG ให้เหมาะสมกับการเล่นเกมเพื่อช่วยลดความร้อน และนำเสนอประสบการณ์ที่ราบรื่นที่สุดในการใช้งาน
Always On Display
Vivo X50 Pro 5G มาพร้อมกับฟังก์ชั่นพิเศษ Always On Display ที่ใช้พลังงานต่ำ จากคุณสมบัติพิเศษ Self-illuminating ของจอ Super AMOLED ทำให้เราไม่พลาดในการดูแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ในรูปแบบเรียลไทม์
และนอกจากจะทำให้การดูเวลากับการแจ้งเตือนของแอปพลิเคชันต่าง ๆ มีความสะดวกคล่องตัวมากยิ่งขึ้นแล้ว ผู้ใช้งานยังปรับแต่งรูปแบบการแสดงผลของนาฬิกา, แบล็คกราวน์และสี แถมยังสามารถดาวน์โหลดรูปแบบใหม่ ๆ มาใช้งานได้อีกด้วย
Multi-Turbo 3.0
Multi-Turbo 3.0 บน Vivo X50 Pro 5G จะพาผู้ใช้งานไปสัมผัสประสบการณ์ความรวดเร็วด้วย ART++ Turbo เพื่อเพิ่มความเร็วในการเปิดใช้งานแอปพลิเคชั่น โดยฟีเจอร์ Game Turbo จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการสัมผัสให้เร็วขึ้น และการตอบสนองได้ไวขึ้น พร้อมด้วย Center Turbo ที่ช่วยลดปัญหาเฟรมเรตตกในขณะเล่นเกม
Ultra-Game Mode
Ultra-Game Mode ได้ถูกออกแบบมาเพื่อความสนุกในการเล่นเกมขั้นสุด สามารถเล่น E-sports ได้อย่างมืออาชีพโดยใช้ Competition Mode เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกมได้ดียิ่งขึ้น และ นอกจากนี้ยังมี AI Turbo ที่มีความฉลาดในการสั่งงาน ซึ่งช่วยให้สามารถเรียกใช้งานแอปพลิเคชันที่ใช้งานบ่อยให้เร็วยิ่งขึ้น รวมถึงฟีเจอร์อำนวยความสะดวกอย่าง บันทึกหน้าจอ Screen Recording และจับภาพหน้าจออย่างรวดเร็ว Fast Screen Capture ก็มีมาให้ใช้งานอย่างครบถ้วน
นอกจากนี้ยังอัพเกรดฟีเจอร์เด่น ๆ ให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Killer Countdown ที่สามารถเตือนถึงเวลาที่เหลือก่อนที่เกมจะเริ่ม เพื่อช่วยให้เราเตรียมตัวหรือสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้นในขณะรอเกมจะรันขึ้นนั่นเอง
และโหมดล่าสุด Game Vibration ที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์สั่นสะเทือน ส่งผลให้การเล่นเกมต่อสู้ได้ดุเดือด มีความสมจริง เช่นการสั่นตอบสนองในเวลาที่ยิงปืน หรือการชน การกระแทกเป็นต้น
Voice Changer ฟังก์ชันเปลี่ยนเสียงในเกม ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกเอฟเฟกต์เสียงตัวละครที่หลากหลายระหว่างเล่นเกมกับเพื่อนร่วมทีม โดยเปลี่ยนเป็นเสียงย่านต่ำ หรือเสียงที่ให้ความตลกขบขัน ทำให้การสนทนาระหว่างการเล่นเกมนั้นสนุกสนาน และมีสีสันมากยิ่งขึ้น
Game Center
Game Center เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่ โดยเป็นศูนย์รวมของเกมที่น่าสนใจ มีการแบ่งหมวดหมู่ไว้อย่างชัดเจน ทำให้ง่ายต่อการค้นหาและดาวน์โหลด นอกจากนี้ Game Space ยังมาพร้อมความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลสำคัญในระหว่างการเล่นเกม เช่น ดูข้อมูล CPU อุณหภูมิ และปริมาณข้อมูลการใช้งาน โดยทำงานร่วมกับ Ultra Game Mode ที่สามารถปิดข้อความ และการแจ้งเตือนต่าง ๆ ในขณะเล่นเกม ให้คุณสามารถมุ่งเน้นไปกับการเล่นเกมได้อย่างเต็มที่
เทคโนโลยีชาร์จไว 33W vivo FlashCharge 2.0
มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุสูงถึง 4315mAh ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างยาวนานครบวัน แถมยังมีระบบชาร์จไวด้วยเทคโนโลยี 33W vivo FlashCharge 2.0 ที่ใช้เวลาเพียง 30 นาที สามารถชาร์จได้ถึง 57% พร้อมระบบป้องกันความปลอดภัยถึง 9 ชั้น ซึ่งถือว่าชาร์จได้ไวและมีความปลอดภัยที่น่าประทับใจมาก ๆ
ทั้งนี้ควรใช้สาย Micro USB และอแดปเตอร์ชาร์จที่ให้มาในกล่อง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและได้ประสิทธิภาพสูงสุดครับ