vivo แบรนด์สมาร์ตโฟนชั้นนำระดับโลกเปิดตัว vivo X200 Series อย่างเป็นทางการในไทยเป็นที่เรียบร้อย โดยจุดเด่นของ vivo X200 Series ยังคงมาพร้อมความร่วมมือกับ ZEISS แบรนด์ผู้ผลิตเลนส์กล้องชั้นนำระดับโลกในการพัฒนาทางวิศวกรรม (Co-Engineer) ทั้งด้าน Hardware และ Software
ซึ่งในรอบนี้ชูจุดขายด้วยสโลแกน “ZEISS Image Go Far” ซูมชัดทุกเรื่องราว โดยมาพร้อมกับเทคโนโลยีการซูมและปรับแต่งภาพเฉพาะจาก vivo ที่มีความโดดเด่นด้านการซูมไกลและคมชัด รองรับการใช้งานทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ตอบโจทย์การใช้งานในทุก ๆ สภาพแสง
ส่วนในด้านสเปคก็ถือว่าจัดเต็มและมีการอัปเกรดเทคโนโลยีและฟีเจอร์มาอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นขุมพลังสุดแรงอย่าง MediaTek Dimensity 9400 ผสานการทำงานร่วมกับ vivo BlueChip ที่ให้แบตสุดอึดถึง 5800mAh ตอบทุกโจทย์การใช้งานและความบันเทิงด้วยหน้าจอ ZEISS Master Color อัตราการรีเฟรช 120Hz ความสว่างสูงสุด 4500nits
มอบสีสันธรรมชาติในแบบ ZEISS ให้ผู้ใช้ได้เพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การรับชมภาพที่ชัดเจน สดใส และสวยสมจริง อีกทั้งยังมอบความมั่นใจในการใช้งานด้วยฟีเจอร์ทนน้ำทนฝุ่น IP68&IP69 เรียกว่าเป็นสมาร์ตโฟนเรือธงที่ถ่ายรูปสวย สเปคแรง ตอบโจทย์การใช้งานได้ครบครันและคุ้มค่าส่งท้ายปี 2024 อย่างแท้จริง
สเปคเบื้องต้น vivo X200
ขนาด : 160.27 × 74.81× 7.99 มม.
น้ำหนัก : สี Midnight Black 197 กรัม, สี Ocean Blue และ Aurora Green 202 กรัม
ชิปเซต : MediaTek Dimensity 9400
RAM และ ROM : 12 GB + 256 GB
หน้าจอแสดงผล : AMOLED 6.67 นิ้ว ความละเอียด 2800 × 1260 พิกเซล รองรับอัตรารีเฟรช 120Hz
กล้องหน้า : 32MP
กล้องหลัง : 3 เลนส์ Triple Camera Co-engineered with ZEISS พร้อมไฟแฟลช Triple-LED
กล้องหลัก 50MP เซนเซอร์ Sony IMX921, กล้องหลังเลนส์ Wide-angle ความละเอียด 50MP, กล้องหลังเทเลโฟโต้ ความละเอียด 50MP เซนเซอร์ Sony IMX882
แบตเตอรี่ 5800mAh เทคโนโลยี BlueVolt รองรับชาร์จไว vivo FlashCharge 90W
สีที่วางจำหน่าย : Midnight black, Ocean Blue, Aurora Green
ตัวกล่องแพ็กเกจจิ้งของ vivo X200 Series ยังคงมาในโทนสีและดีไซน์ในแบบฉบับ X Series ที่ขับเน้นในเรื่องของความเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความพรีเมี่ยม โดยพื้นผิวของตัวกล่องจะใช้ลายเท็กเจอร์ที่ให้ฟิลลิ่งเหมือนหนังแท้
และที่ด้านหน้าจะมีความโดดเด่นด้วยรูปโมดูลกล้องในดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของ X Series โดยภายในจะกำกับด้วยชื่อรุ่น X200 พร้อมชูจุดเด่นด้วยข้อความกำกับในการร่วมมือระหว่าง vivo กับ ZEISS แบรนด์ผู้ผลิตเลนส์กล้องชั้นนำระดับโลกในการพัฒนาทางวิศวกรรม (Co-Engineer) เพื่อส่งมอบประสบการณ์การถ่ายภาพระดับมืออาชีพสู่มือผู้บริโภคทั่วโลก
ส่วนด้านข้างกล่องจะมีการระบุชื่อรุ่น และความจุของ ROM/RAM และความร่วมมือในการใช้เครื่องหมายการค้าของ Carl ZEISS AG
ส่วนด้านหลังกล่องจะพิมพ์บอกรายละเอียดทั้งในส่วนของชื่อรุ่น สี หมายเลขอีมี่และรายละเอียดของผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย
- ตัวเครื่อง vivo X200 พร้อมติดฟิล์มกันรอยมาให้ตั้งแต่โรงงาน
- อแดปเตอร์ชาร์จไฟ รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว FlashCharge 90W
- สายดาต้าลิงค์แบบ USB Type-C
- vivo X200 สี Ocean Blue มากับ Soft Case TPU สีน้ำเงิน และสี Aurora Green จะมาพร้อม Soft Case TPU แบบใส
- อุปกรณ์เปิดถาด SIM Card
- ใบรับประกัน, และคู่มือการใช้งานฉบับย่อ
ส่วน vivo X200 สี Midnight black จะได้เป็น Soft Case TPU สีดำที่เข้ากับสีตัวเครื่อง
รูปลักษณ์ดีไซน์
vivo X200 มาด้วยกัน 3 สี ประกอบด้วย Midnight black, Ocean Blue, Aurora Green
Aurora Green สีเขียวปัดเงาที่สื่อถึงความสง่าและความงดงามของธรรมชาติ
vivo X200 ยังคงความเป็นสมาร์ตโฟนเรือธงที่ให้ความพรีเมียมมาแบบอัดแน่น ทั้งในด้านดีไซน์และคุณภาพของวัสดุพร้อมเทคโนโลยีการผลิตที่เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพ ถ้ามองในภาพรวมดีไซน์ของ vivo X200 จะมีความแตกต่างไปจากรุ่นพี่ X100 อยู่พอสมควร ทั้งในด้านขนาดมิติของตัวเครื่อง และดีไซน์บางจุดที่แตกต่างแบบสัมผัสได้ชัดเจน
ในภาพรวม vivo X200 ตัวเครื่องถูกออกแบบมาตามหลักสรีรศาสตร์ มีความเพรียวบางและน้ำหนักเบา โดยขนาดความบางกับน้ำหนักของตัวเครื่องมีความบาลานซ์ที่ดีมาก ๆ จึงช่วยให้การจับถือและใช้งานได้กระชับ ไม่ลื่นหลุดมืออย่างแน่นอน
vivo X200 มาพร้อมวงแหวน Sunburst เสริมความแข็งแกร่งและความสง่างามให้กับโมดูลกล้อง โดยดีไซน์กรอบของ vivo X200 ได้รับแรงบันดาลใจมาจากขอบนาฬิกา ซึ่งเป็นการออกแบบในสไตล์ Sunburst Texture เหมือนนาฬิกาจักรกลที่ให้ความรู้สึกหรูหราและสวยงามนั่นเอง
หรูหราและโดดเด่นด้วยหน้าจอ Micro Quad Curved Screen ของ vivo X200 ที่มอบประสบการณ์การใช้งานสุดยอดเยี่ยมด้วยความโค้งมนที่เท่ากันในทุก ๆ ด้าน เสริมด้วยเทคโนโลยีหน้าจอ ZEISS Master Color สีสันจะมีชีวิตชีวาเหมือนไม่เคยมีมาก่อน ให้สีสันธรรมชาติในแบบ ZEISS พร้อมมอบความเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์รับชมภาพที่ชัดเจน สดใส และเป็นธรรมชาติควบคู่ไปกับการถนอมสายตาของผู้ใช้งานตลอดการใช้งาน
นอกจากนี้ vivo X200 ยังรองรับการทนฝุ่นและน้ำ IP68&IP69 ภายใต้มาตรฐาน IEC 60529 ในห้องแล็บปฏิบัติการของ vivo ซึ่งช่วยเสริมความอุ่นใจในการใช้งานในทุก ๆ กิจกรรมได้ดียิ่งขึ้น
vivo X200 มาพร้อมกล้องหน้าเซลฟี่ที่ออกแบบให้มีขนาดเล็ก โดยจัดวางเลย์เอาท์ไว้อยู่ตรงกลางของจอแสดงผล ซึ่งจากการใช้งานจริงให้ความรู้สึกกลมกลืนไม่รบกวนสายตา แต่ยังคงให้คุณภาพมาแบบเต็มเปี่ยม ด้วยความละเอียดของกล้องหน้าที่สูงถึง 32 ล้านพิกเซล พร้อมฟีเจอร์แบบอัดแน่น ไม่ว่าจะเป็นโหมด Super Night Selfie, Portrait mode, Multi style portrait และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ช่วยให้การถ่ายเซลฟี่ได้สวยงามในทุกสภาพแสงและทุกสถานการณ์
เลนส์ ZEISS ชัดเจนในทุกเรื่องราว
เลนส์ ZEISS ใน vivo X200 มอบความคมชัด ใสเคลียร์ และความแม่นยำที่ไม่มีใครเทียบได้ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพพอร์ตเทรตหรือภาพทิวทัศน์ ทุกช็อตจะคมชัด มอบความสมจริงในทุกรายละเอียด พร้อมการเคลือบ Coating จาก ZEISS T*
กล้องหลัก ZEISS VCS สีสันเที่ยงตรง
ความละเอียด 50MP | เซนเซอร์ IMX921 | 1/1.56 นิ้ว | รูรับแสง f/1.57 | ระยะ 23 mm | CIPA 4.5
กล้องเทเลโฟโต้ ZEISS
50MP | เซนเซอร์ IMX882 | 1/2 นิ้ว | รูรับแสง f/2.57 | ไฮเปอร์ซูม 100 ออปติคอลซูม 3x l ไฮเปอร์ซูม 100x
กล้องมุมกว้างพิเศษ ZEISS
50MP | 1/2.76 นิ้ว | รูรับแสง f/2.0 | มุมมองกว้างถึง 119°
การจัดวางเลย์เอาท์ในภาพรวม
ด้านบนของ vivo X200 จะมีเส้นสัญญาณเสาอากาศขนาบทั้งซ้ายขวา และที่ฝั่งขวาจะเป็นไมค์ตัดเสียงรบกวนและทำหน้าที่ในการบันทึกเสียงอีกด้วย ถัดไปจะเป็น IR Blaster ที่ใช้ในการควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ได้เหมือนรีโมทนั่นเอง
ด้านล่างประกอบไปด้วย ช่องถาดซิมการ์ด., ไมค์สนทนา, พอร์ต Type-C, ลำโพงหลักของตัวเครื่อง, และเส้นเสาอากาศ สำหรับลำโพงหลักจะเป็นแบบสเตอริโอโดยทำงานร่วมกับลำโพงสนทนาที่ด้านบนของตัวเครื่อง
ฝั่งขวามือของตัวเครื่องจะมีปุ่มเพิ่ม-ลดระดับเสียงและปุ่มพาวเวอร์พร้อมเส้นเสาอากาศที่มุมบนและด้านล่างของปุ่มเพิ่ม/ลดระดับเสียง ส่วนฝั่งซ้ายจะเรียบ ๆ ไม่มีปุ่มหรือพอร์ตใด ๆ แต่จะมีเส้นเสาอากาศ 2 เส้นอยู่ที่มุมบนของตัวเครื่อง
ตัวถาดซิมของ vivo X200 เป็นแบบ Dual Slot ที่รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด แบบนาโนซิม แต่จะไม่รองรับหน่วยความจำภายนอก
สีดำ Midnight black
สีดำ Midnight black สีดำสุดคลาสิก ซึ่งเป็นสีที่สง่า เรียบขรึม แฝงไว้ด้วยความพรีเมียม เหนือกาลเวลา และพร้อมตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้ทุกเพศวัยอย่างแท้จริง
สีน้ำเงิน Ocean Blue
สำหรับสี Ocean Blue สีน้ำเงินเข้มอันเรียบหรู ดูลึกลับ มาพร้อมลายเท็กเจอร์ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้กับผู้ใช้งาน
Dimensity 9400 ชิปเซ็ตระดับเรือธง เร็ว แรง ประหยัดพลังงาน
vivo X200 ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี vivo Blue Chip ซึ่ง vivo เข้าไปร่วมปรับแต่งและพัฒนาชิปกับทาง MediaTek จนกลายมาเป็น Dimensity 9400 ขนาด 3 นาโนเมตร ในกระบวนการผลิตรุ่นที่ 2 ของ TSMC พร้อมสถาปัตยกรรม CPU รุ่นใหม่ ทำให้ vivo X200 มอบประสิทธิภาพที่ทรงพลัง พร้อมการทำงานที่เย็นกว่าเดิม ช่วยให้การทำงานราบรื่นโดยไม่เกิดความร้อนสูงหรือแบตเตอรี่หมดเร็ว
สำหรับความโดดเด่นของชิปเซต Dimensity 9400 จะมีประสิทธิภาพ CPU ที่สูงขึ้น 28% ลดการใช้พลังงานของ CPU ลงถึง 40% รวมถึงยังสามารถลดการใช้พลังงาน AI ของ NPU 890 ได้ถึง 35% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ส่วนในด้านประสิทธิภาพ GPU Immortalis-G925 นั้นสูงขึ้น 41% สามารถลดการใช้พลังงาน GPU Immortalis-G925 ได้ถึง 44% และยังรองรับรองรับเทคโนโลยี Ray Tracing ช่วยประหยัดพลังงานและยกระดับการแสดงผลภาพกราฟิกระหว่างเล่นเกม
ในการทดสอบผล Benchmark ด้วยโปรแกรม AnTuTu Benchmark จะเห็นได้ว่า vivo X200 สามารถทำคะแนนไปได้กว่า 2 ล้านกว่า ๆ ซึ่งเป็นคะแนนที่สูงในระดับต้น ๆ ของสมาร์ตโฟนเรือธง ณ ปัจจุบัน ส่งผลให้การใช้งานในภาพรวม ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานหนัก ๆ อย่างการเล่นเกม รวมถึงการถ่ายรูปและวิดีโอความละเอียดสูงระดับ 4K เป็นไปอย่างสมูทลื่นไหล ไม่พบอาการสะดุดติดขัดให้หงุดหงิดใจอย่างแน่นอน
Funtouch OS 15 บน Android 15
vivo X200 ขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการ Funtouch OS 15 บน Android 15 ใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อม Gemini Assistant ผู้ช่วย AI เพื่อการเรียนรู้ที่มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการเขียนอีเมล วางแผนกิจกรรม และอื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ
Circle to Search ฟีเจอร์ช่วยเสิร์ชอัจฉริยะ ลดความยุ่งยาก ในการหาข้อมูลได้ง่าย ๆ เพียงวาดวงกลม ล้อมรอบเนื้อหาที่ต้องการเสิร์ช
AI Note Assist ช่วยจัดระเบียบโน้ต สรุปข้อความ ลิสต์สิ่งที่ต้องทำ (to-dos) ไปจนถึง การแปลภาษา ครบจบในที่เดียว
AI Transcript Assist ฟีเจอร์ถอดบทสนทนาผ่าน AI ช่วยจัดระเบียบ ประเด็นสำคัญ สรุปเนื้อหา และค้นหาคำสำคัญได้ตามต้องการ
AI Erase แตะ ลบ จบ ช่วยลบองค์ประกอบที่ไม่ต้องการและปรับแต่งภาพของได่อย่างง่ายดายเพื่อภาพถ่ายที่สมบูรณ์แบบ
vivo X200 ยังมาพร้อมเทคโนโลยี Extended RAM ในแบบ 12GB+12GB ส่งผลให้สามารถใช้งาน RAM สูงสุดถึง 24GB สามารถลดกระบวนการที่อยู่ภายในระบบโดยอัตโนมัติผ่าน RAM Saver และเพิ่มพื้นที่ RAM ที่มีอยู่ รวมทั้งฟีเจอร์ App Retainer ใหม่ สามารถสลับไปมาระหว่างแอปได้อย่างราบรื่น ตอบโจทย์การใช้งานแอปหรือเกมที่เน้นกราฟิกบนพื้นที่หน่วยความจำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลื่นไหลไม่มีสะดุดตลอดทั้งวัน
เหนือกว่าด้วยหน้าจอ ZEISS Master Color อัตราการรีเฟรช 120Hz ความสว่างสูงสุด 4500nits มอบสีสันธรรมชาติในแบบ ZEISS ให้ผู้ใช้ได้เพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การรับชมภาพที่ชัดเจน สดใส และสวยสมจริง
นอกจากนี้ vivo X200 Series ยังมาพร้อมฟีเจอร์ที่ช่วยปกป้องดวงตาผ่านเทคโนโลยี Full Range Luminance 2160Hz PWM Dimming ที่ช่วยลดการกระพริบของหน้าจอและอาการเมื่อยของดวงตา มอบการมองเห็นที่คมชัดในทุกระดับความสว่างของหน้าจอ และยังตอบโจทย์ด้านความบันเทิงได้ดีเยี่ยมด้วย การรองรับ HDR10+, Netflix HDR, ใช้งานได้ยาวนานสบายตาทั้งกลางวันและกลางคืน
และยังรองรับการปรับแต่งหน้าจอแสดงผลได้อย่างยืดหยุ่น ไม่ว่าจะเป็นอัตรารีเฟรชเรท สีหน้าจอ ความละเอียดหน้าจอ การปรับปรุงภาพ (สีและคอนทรานส์) เป็นต้น
ด้านความปลอดภัย
ฟีเจอร์ในด้านความปลอดภัยก็ให้มาอย่างครบถ้วน โดย vivo X200 รองรับฟีเจอร์ความปลอดภัยในระดับ Hardware ด้วย Biometric อันล้ำสมัยจาก “นวัตกรรม In-Display Fingerprint Scanning” หรือการฝังเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ภายในจอแสดงผล และในเจนเนอเรชั่นล่าสุดมีการอัปเกรดตัวเซนเซอร์ใหม่แบบ 3 ชิ้นเลนส์ จึงส่งผลให้การทำงานมีความรวดเร็วแม่นยำที่ดีมากยิ่งขึ้น
ส่วนระบบ Face Unlock บน vivo X200 มีความรวดเร็วแม่นยำไม่แพ้ระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ และยังสามารถทำงานได้ดีแม้ในที่แสงน้อยหรือในที่มืดได้โดยไม่มีปัญหา และมี Effect ในขณะปลดล็อกหน้าจอที่เราสามารถปรับเปลี่ยนได้หลายรูปแบบ อีกทั้งยังสามารถใช้งานร่วมกับระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือได้เป็นอย่างดี ทำให้มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการปลดล็อกที่ผสานทั้ง 2 ระบบเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
ด้านการเล่นเกม
vivo X200 เป็นสมาร์ตโฟนเรือธงที่ตอบโจทย์การเล่นเกมได้อย่างน่าประทับใจแบบขั้นสุด โดยขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Flagship Dimensity 9400 บนสถาบัติยกรรม 3 นาโนเมตร ประมวลผลในแบบ Octa-core (1×3.63 GHz Cortex-X925 & 3×3.3 GHz Cortex-X4 & 4×2.4 GHz Cortex-A720) ผสานด้วยชิปประมวลผลกราฟิก Immortalis-G925 พร้อมฟีเจอร์ขยาย RAM 12GB + 12GB และมาพร้อมพื้นที่จัดเก็บข้อมูลแบบ UFS 4.0 ซึ่งเมื่อรวมกับการทำงานควบคู่ไป Firmware ที่ปรับแต่งมาเป็นอย่างดี จึงพร้อมมอบประสบการณ์การเล่นเกมที่มีประสิทธิภาพอย่างก้าวกระโดดแบบสัมผัสได้เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้า
Ultra-Game Mode โฉมใหม่
มาพร้อม Ultra-Game Mode โฉมใหม่ เล่นต่อไปได้ไม่สะดุด ด้วยทางลัดการตั้งค่าแบบใหม่ที่ให้คุณปรับแต่งการตั้งค่าได้ทันทีโดยไม่ต้องหยุดเกม และยังมีทางลัดแบบใหม่ที่เปิดหน้าต่างเล็กได้ด้วยการแตะเพียงครั้งเดียว ให้คุณเล่นเกมและแชทไปพร้อมกันได้
โหมดเกมหน้าต่างเล็กพร้อมให้ใช้งานแล้วในหลายๆ เกม เพลิดเพลินกับความตื่นเต้นเร้าใจในเกมพร้อมคำแนะนำด้านข้าง
ในเวอร์ชันอัปเดตใหม่ล่าสุด ได้ถูกออกแบบมาเพื่อความสนุกในการเล่นเกมขั้นสุด ซึ่งสามารถเลือกการทำงานได้ถึงสามโหมดตามความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นโหมดประหยัดแบตเตอรี่, โหมดสมดุล และโหมดประสิทธิภาพที่สามารถรีดพลังในการเล่นเกมออกมาได้แบบเต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ด้วยหน้าจอแสดงผลที่มีคุณภาพสูง รวมถึงลำโพงสเตอริโอคู่จะช่วยเพิ่มประสบการณ์การเล่นเกมที่ดื่มด่ำ ด้วยการผสมผสานระหว่างการแสดงผล การสั่นสะเทือนและเสียงอันทรงพลัง ให้ความสมจริงในขณะเล่นมากยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มประสบการณ์การเล่นเกมที่จัดเต็มในแบบรอบด้าน
นอกจากนี้ยังสามารถเล่น E-sports ได้อย่างมืออาชีพโดยใช้ Competition Mode เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกมได้ดียิ่งขึ้น และ นอกจากนี้ยังช่วยให้การเล่นเกมมีความต่อเนื่องไร้การรบกวนจากแจ้งเตือนข้อความและการแจ้งเตือนแอปพลิเคชันอื่น ๆ อีกทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพแบบสัมผัสเพื่อป้องกันการจับภาพหน้าจอในขณะเล่นเกมที่เกิดจากการสัมผัสโดยไม่ได้ตั้งใจ
รวมถึงยังอัพเกรดฟีเจอร์เด่น ๆ ให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น อาทิเช่น 4D Game Vibration ระบบสั่น 4 มิติ ที่ช่วยเพิ่มความสมจริงในเกม FPS , เอฟเฟ็กต์เครื่องเปลี่ยนเสียง, Game Picture-in-Picture, Do Not Disturb, Esports Mode เป็นต้น
vivo X200 สามารถตั้งค่ากราฟิกและเฟรมเรตของตัวเกมในระดับสูงสุดได้ทุกเกม เมื่อลองทดสอบเกมยอดนิยมอย่าง Genshin Impact, PUBG, ROV, Asphalt 9 ฯลฯ ไม่พบอาการหน่วงหรือสะดุดให้เห็น
สรุปในภาพรวม vivo X200 สามารถเล่นได้ทุกเกมแบบตั้งค่าสูงสุด พร้อมเปิดเฟรมเรทสูง ๆ ได้อย่างไม่มีปัญหา ส่วนหนึ่งต้องยกความดีให้กับคุณภาพ Hardware ระดับเรือธง และ Firmware ที่ปรับแต่งมาเป็นอย่างดี รวมถึงฟีเจอร์ Ultra-Game Mode ที่ช่วยเพิ่มสมรรถนะให้เหมาะสมกับการเล่นเกมได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ vivo X200 เป็นสมาร์ตโฟนเรือธงที่ตอบสนองการเล่นเกมได้อย่างดีเยี่ยมในระดับแถวหน้าของตลาดบ้านเรา
X200 Series BlueVolt Battery Upgrade แบตเตอรี่และเทคโนโลยีชาร์จไวที่พร้อมสำหรับการใช้งานได้ยาวนานตลอดทั้งวัน
ครั้งแรกในอุตสาหกรรมกับแบตเตอรี่ Silicon Anode รุ่นที่ 3 เพิ่มอายุการใช้งานด้วยเทคโนโลยีแบต Semi-Solid ขนาดบางยิ่งขึ้น แต่มอบความจุที่มากกว่า พร้อมใช้งานได้แม้ในอุณหภูมิที่หนาวจัดสูงสุด -20°C
สำหรับ vivo X200 แม้จะมีดีไซน์ที่บางเบา แต่มาพร้อมความจุแบตเตอรี่สูงถึง 5800mAh และรองรับฟีเจอร์ชาร์จเร็วแบบ 90W FlashCharge
ด้วยเทคโนโลยีแบต Silicon Anode รุ่นที่ 3 สามารถให้พลังงานที่ 834 Wh/L เรียกว่าบางลง แต่ให้พลังงานมากขึ้น อีกทั้งยังใช้โครงสร้างบัฟเฟอร์ประสิทธิภาพสูง สามารถลดการใช้พลังงานในสถานการณ์ที่ทำงานหนักได้ถึง 11% และยังมาพร้อมระบบระบายความร้อน Vapor Chamber ที่พัฒนาการกระจายความร้อนได้ดียิ่งขึ้นกว่า 50% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า
ด้านการถ่ายภาพ
vivo X200 มาพร้อมกล้องหน้าความละเอียด 32MP ระบบโฟกัส AF รู้รับแสงกว้าง f/2.0 โดยมีขนาดเซนเซอร์ที่ 1/3.44″
และถึงแม้ vivo X200 จะชูจุดเด่นในด้านกล้องหลังที่ร่วมมือกับ ZEISS แบรนด์ผู้ผลิตเลนส์กล้องชั้นนำระดับโลกในการพัฒนาทางวิศวกรรม (Co-Engineer) แต่ก็ไม่ได้ละเลยกล้องหน้าที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดขายของค่าย vivo มาอย่างยาวนาน
Auto Mode
กล้องหน้าคมชัดด้วยความละเอียดสูงถึง 32MP แม้จะซูมเข้าไปดูก็ยังเห็นรายละเอียดบนใบหน้าได้อย่างครบถ้วน พร้อมครอบตัด แก้ไข และสร้างภาพเซลฟี่แบบโปสเตอร์ได้อย่างง่ายดาย จะเซลฟี่มุมไหนก็ไม่เบลอ ด้วยกล้องที่คมชัด
Portrait Mode
ในโหมด Portrait ผู้ใช้งานสามารถเลือกการตั้งค่ารูรับแสงหรือค่า f ได้เองตั้งแต่ f/0.95 – 16 เพื่อกำหนดค่าความเบลอฉากหลังได้ตามที่ต้องการ
ทดสอบโหมด Portrait ในสภาพแสง Outdoor
ทดสอบโหมด Portrait + Bokeh effect ซึ่งการละลายฉากหลังทำได้ดีมาก โดยให้ความละมุนดูมีความเป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังเก็บรายละเอียดของเส้นขอบได้ค่อนข้างเนียนตาอีกด้วย
Bokeh flare
กล้องหน้านอกจากจะตั้งค่ารูรับแสงหรือค่า f ได้เองตามความต้องการแล้ว ยังมาพร้อม Bokeh effect ที่จำลองโบเก้ในสไตล์เลนส์กล้องของทาง ZEISS โดยมีรูปแบบโบเก้มาให้ใช้งานถึง 6 รูปแบบ
Nature, Biotar
Sonnar, Planar
Distagon
Cinematic
การถ่าย Portrait พร้อมเปิดใช้งาน Bokeh effect จะให้ฟิลลิ่งของภาพที่คล้ายคลึงกับกล้องหลัง ถือว่าเป็นจุดเด่นเฉพาะตัวของ vivo X200 Series
ทดสอบโหมด Portrait ในสภาพแสง Indoor
ในสภาพแสง Indoor หรือภายในอาคาร vivo X200 สามารถทำผลงานได้ดีมาก ๆ ไม่แพ้การถ่ายในสภาพแสง Outdoor โดยยังให้ความคมชัดและไวท์บาลานซ์ที่ถูกต้องแม่นยำ เรียกว่าพร้อมตอบโจทย์ในการถ่าย Portrait ได้ในทุกสภาพแสงอย่างแท้จริง
Multi-Style Portrait
สำหรับโหมด Multi-Style Portrait จะมีสไตล์ที่ให้เลือกใช้งานได้ถึง 9 รูปแบบ ซึ่งให้ฟิลลิ่งคล้ายกับโปรไฟล์สี ที่มีให้ใช้งานบนกล้องระดับมืออาชีพของหลาย ๆ แบรนด์นั่นเอง
AI Face Beauty
Classic & Nature
สำหรับโหมด AI Face Beauty ใน Portrait Mode จะมี 2 โหมดสำเร็จรูปหลัก ได้แก่โหมดธรรมชาติและคลาสสิก โดยโหมดธรรมชาติจะให้สกินโทนที่เน้นความสมจริงดูเป็นธรรมชาติ ส่วนโหมดคลาสสิกตัวระบบ AI จะคำนวณความเหมาะสมให้เข้ากับใบหน้าของเราโดยอัตโนมัติ ซึ่งทั้งสองโหมดสามารถตอบโจทย์สำหรับสีผิวและความชื่นชอบที่แตกต่างกันไปของผู้ใช้งานได้อย่างลงตัว
ทั้งนี้ผู้ใช้งานยังสามารถปรับแต่งในโหมดบิวตี้ได้อย่างยืดหยุ่น เช่นปรับให้ผิวขาวนวล ปรับสกินโทนของสีผิว ปรับให้ใบหน้าเรียวบาง, ปรับแต่งภาพรวมโครงสร้างใบหน้า, กราม, ปรับให้ดวงตากลมโต, ดวงตาเรียวยาว, ปรับแต่งรูปแบบของจมูกและริมฝีปากเป็นต้น ซึ่งฟีเจอร์นี้จะช่วยให้การถ่ายเซลฟี่เป็นเรื่องสนุก และให้ผลลัพธ์ที่ตรงใจแก่ผู้ใช้งานได้มากที่สุดนั่นเอง
ทดสอบกล้องหลัง
สำหรับรายละเอียดของสเปคกล้อง vivo X200 มีรายละเอียดดังนี้
กล้องหลัก ZEISS VCS สีสันเที่ยงตรง
ความละเอียด 50MP เซนเซอร์ IMX921 ขนาด1/1.56 นิ้ว รูรับแสงกว้าง f/1.57 ระยะ 23 mm | CIPA 4.5
กล้องเทเลโฟโต้ ZEISS
50MP เซนเซอร์ IMX882 ขนาด 1/2 นิ้ว รูรับแสงกว้าง f/2.57 รองรับไฮเปอร์ซูม 100 ออปติคอลซูม 3x l ไฮเปอร์ซูม 100x
กล้องมุมกว้างพิเศษ ZEISS
50MP ขนาด1/2.76 นิ้ว รูรับแสงกว้าง f/2.0 ให้มุมมองกว้างถึง 119°
vivo X200 มาพร้อมกล้องหลักความละเอียดสูงถึง 50MP ( 8192 x 7024 พิกเซล) รองรับการซูมแบบ Optical ได้ที่ 3x และ Digital ที่ 100x
เลนส์ ZEISS สีสันสมจริง รองรับการถ่ายได้หลากหลายระยะ
ระยะปกติ (1x)
Ultra wide angle
มุมมองกว้าง Ultra wide angle มุมกว้างพิเศษ
Zoom 2x
Zoom 3x
Zoom 6x
Zoom 10x
Zoom 15x
Zoom 20x
Zoom 50x
Zoom 100x
ในภาพรวมต้องบอกว่ารอบนี้ การซูมของ X200 Series ทำงานได้ดีขึ้น ทั้งการอัปเกรดอัลกอริทึมและ AI จึงให้ภาพที่คมชัด ทั้งในระยะ Optical และ Digital จึงสามารถตอบโจทย์การนำไปใช้งานได้หลากหลายสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการชมคอนเสิร์ต รับชมกีฬากลางแจ้ง หรือแม้กระกระทั่งในด้านการท่องเที่ยวก็ตาม
Color Tone
ระบบสีของ vivo จะให้สีสันที่สดใส เหมาะกับการถ่ายภาพได้ทุกสถานการณ์ ซึ่งให้ภาพที่มีชีวิตชีวาและสดใส ค้นพบโลกแห่งสีสัน และเก็บรักษาภาพความทรงจำให้สดใหม่อยู่เสมอ
สีธรรมชาติของ ZEISS
จากการร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่าง vivo และ ZEISS ทำให้สามารถดึงเอาสีสันที่เป็นธรรมชาติออกมาได้เป็นค่าสีที่อยู่ในระดับบนของอุตสาหกรรมในมาตรฐาน DE การปรับโทนสีระดับโปรนี้จะสร้างสิ่งที่ตรงกับตามองเห็นมากยิ่งขึ้น
vivo X200 สามารถปรับ color tone หรือสีของโทนภาพได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ Vivid, Textured, ZEISS Natural ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเลือกโทนสีได้ตรงกับความต้องการ เช่นการถ่ายอาหาร ถ่ายวิวทิวทัศน์ หรือถ่ายภาพบุคคลเป็นต้น
Super macro
ระยะปกติ
โหมด Macro ระยะปกติ & โหมด Telephoto Macro
ZEISS Telephoto นอกจากจะโดดเด่นในด้านการซูมแล้ว ยังสามารถใช้งานในโหมด Macro ได้อย่างน่าประทับใจ เพราะไม่ต้องจ่อโทรศัพท์เข้าไปใกล้ ๆ วัตถุที่ต้องการถ่าย เพราะผู้ใช้งานสามารถถ่ายมาโครด้วยการซูมและถือสมาร์ตโฟนในระยะปกติ แถมยังได้โบเก้ที่ละลายหลังได้อย่างสวยงามไม่แพ้เลนส์ Macro บนกล้องโปรเลยทีเดียว
Super Landscape Mode
Landscape หรือโหมดทิวทัศน์ เป็นโหมดใหม่ที่เพิ่มเข้ามาใน X200 Series ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรมกับโหมดแลนด์สเคป ด้วยการผสมผสานหลากหลายรูปแบบการถ่ายภาพเข้าด้วยกัน อาทิ จับภาพขอบฟ้าที่กว้างไกล ทิวทัศน์ยามค่ำคืน ดวงจันทร์ ดวงดาว และการเปิดรับแสงนาน พร้อมใช้งานง่าย ๆ ทั้งสภาพแสงกลางวันและกลางคืนเพียงแตะถ่ายครั้งเดียว
Stunning Landscape Styles
นำเสนอ 2 ฟีเจอร์การถ่ายภาพผ่าน Super Landscape Mode ทั้งหมด 2 สไตล์ ได้แก่ “Atmosphere” และ “Soft” ช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพวิวที่ สวยงามและมิติได้ง่าย ๆ เพียงแค่แตะเปลี่ยนโหมด
ในโหมด Landscape รองรับการถ่ายภาพแบบ Long Exposure ที่สร้างสรรค์ภาพถ่ายคุณภาพสูง ผ่านเอฟเฟกต HDR และ slow-shutter ได้อย่างลงตัว
XDR Photo 3.0
รองรับ XDR Photo 3.0 ช่วยยกระดับคุณภาพการแสดงผลของภาพ ตั้งแต่การถ่ายและประมวลผล ไปจนถึงการแสดงผลภาพ มอบการถ่ายทอดแสงและเงาได้อย่างสมจริงและละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น
Floating clouds and Flowing water
ในโหมด Landscape จะมีการรวมโหมด Super Night Mode เข้าไปด้วย โดยเมื่อเราเลือกใช้งาน Long Exposure ก็จะมีหลักการทำงานที่เหมือนกับ Super Night Mode นั่นเอง เพียงแต่บน vivo X200 จะมีความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้น สามารถเลือกสไตล์ของการเปิดรับแสงนานได้หลากหลายรูปแบบเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์นั้น ๆ เช่นการถ่ายน้ำตก น้ำพุ แสงไฟที่เคลื่อนไหว ดอกไม้ไฟ เส้นแสงดาวเป็นต้น
โหมด Auto
โหมด Landscape และเปิดใช้งาน Long Exposure แบบ Floating clouds and Flowing water
และในโหมด Landscape ยังมี Style มาให้ใช้งานอีก 5 รูปแบบ ประกอบด้วย Atmospher, Soft, Black & gold, Cyberpunk, Green orange
ตัวอย่างภาพถ่ายในสภาพแสงต่าง ๆ
พอร์ตเทรตสไตล์ ZEISS รังสรรค์ภาพบุคคลระดับโปรที่เหนือกว่าทุกคู่แข่ง
ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการถ่ายภาพ Portrait ด้วย ZEISS Multifocal Professional Photography เพื่อส่งมอบประสบการณ์การถ่ายภาพพอร์ตเทรตระดับมืออาชีพสู่มือผู้ใช้งานในรูปแบบที่ใช้งานได้ง่ายขึ้น และให้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบเพียงปลายนิ้วสัมผัส โดยในการใช้งานที่โหมด Portrait หรือภาพคน ให้แตะที่ไอคอนรูปเลนส์ที่อยู่มุมล่างด้านซ้ายเพื่อเข้าสู่โหมดการถ่ายภาพ Portrait แบบสำเร็จรูป ที่มีให้เลือกใช้งานได้ถึง 5 ระยะ (และเลือกใช้งานได้ 7 รูปแบบสำเร็จรูป)
โหมด ZEISS Multifocal Portrait ของ vivo X200 จะมี Full focal length portrait lens package ที่ช่วยยกระดับการถ่าย Portrait ให้ง่ายขึ้น มีหลักการทำงานเสมือนการเปลี่ยนเลนส์บนกล้องบน Full Frame ซึ่งมีระยะเลนส์หรือทางยาวโฟกัสที่ครอบคลุมครบทุกระยะให้เลือกใช้งาน ตั้งแต่ 24mm ,35mm ,50mm ,85mm และ 100mm โดยสามารถดูรายละเอียดของการถ่ายในระยะโฟกัสที่เลือก รวมถึงสไตล์โบเก้ที่ถูกจับคู่ใช้งานให้แบบอัตโนมัติ
ระยะ 24mm เป็นระยะที่เหมาะสำหรับถ่ายภาพแนวท่องเที่ยว หรือเชิงสร้างสรรค์ และยังสามารถขับเน้นฉากหลังสำหรับสถานท่องเที่ยวที่มีทิวทัศน์อันโดดเด่น ไปพร้อม ๆ กับตัวแบบได้อย่างลงตัว โดยระยะ 24mm (1X) จะเลือกใช้แสงแฟลร ZEISS Distagon จับคู่กับโทนสีย้อนยุค ช่วยให้ภาพคนในระหว่างการเดินทางมีความโดดเด่น และชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ระยะ 24mm ยังเหมาะกับการถ่ายภาพ Portrait ในแนวนอนได้ดีอีกด้วย
ระยะ 35mm เป็นระยะที่เหมาะสำหรับถ่ายภาพบุคคลและภาพบรรยากาศ โดยการเบลอฉากหลังจะมีความลึกที่เพิ่มขึ้นมาจากระยะ 24mm
สำหรับระยะ 35mm จะใช้แสงแฟลร์แนวภาพยนตร์แบบวัดสามค่า ZEISS B-Speed จับคู่กับระยะโฟกัสแบบเน้นคน 35mm (1.5x) จึงช่วยให้รู้สึกถึงการสื่อสารที่เน้นตัวบุคคลและเรื่องราวได้อย่างชัดเจน
ระยะ 50mm สำหรับถ่ายภาพบุคคลแบบครึ่งตัว โดยมีให้เลือกสองแบบ ได้แก่ classic portrait สำหรับถ่ายภาพบุคคลแบบครึ่งตัว ด้วยการผสมผสานระหว่างแสงแฟลร์แบบหมุน ZEISS Biotar (2.2x) โดยสามารถถ่ายภาพคนตามบรรยากาศที่ให้รูปร่างที่มีความโดดเด่น และโทนผิวที่สว่างมากขึ้น
ระยะ 50mm รูปแบบที่ 2 natural portrait เป็นการผสมผสานระหว่างแสงแฟลร์ทรงกลม พร้อมโฟกัส 50mm (2.2x) ซึ่งเป็นระยะเลนส์ที่ตรงกับตามนุษย์มากที่สุด ดังนั้นจึงให้ภาพพอร์ตเทรตที่เป็นธรรมชาติ สมจริง และดูโปรมากยิ่งขึ้นแม้ถ่ายจากระยะไกล ก็จะยังให้ภาพพอร์ตเทรตที่สดใสน่าทึ่งราวกับถ่ายในระยะใกล้เสมือนกล้องโปรนั่นเอง
และ vivo X200 ยังรองรับการถ่าย portrait ในระยะ close-up ที่ต้องการขับเน้นใบหน้าให้โดดเด่นในสไตล์กล้องโปรด้วยระยะที่ 85มม. และ 100มม.
85mm ภาพคนเชิงวัฒนธรรม โดยใช้สไตล์สีดำและสีขาวแบบมินิมอลควบคู่ไปกับเลนส์ระยะไกลพิกเซลสูง 85มม. (3.7x) เพื่อสร้างภาพสุคคลาสสิกด้วยแสงและเงา
ระยะ 85mm จะมาพร้อมแสงแฟลร์สีครีม ZEISS Sonnar รวมกับเลนส์ในระยะ 85มม. (3.5x) พร้อมรูปแบบแนวฟิลม์ภาพยนตรในโทนสีน้ำเงิน – เหลือง โดยมีสีสันที่สดใส ด้วยคอนทราสต์ระหว่างโทนแย็นและโทนอุ่นเพื่อสร้างภาพคนที่สื่อถึงอารมณ์อันสมดุลแบบสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง
ระยะ 100mm มีจุดเด่นทั้งในแง่ของการเน้นไปที่ภาพใบหน้าแบบ close-up และยังตอบโจทย์การถ่ายภาพบุคคลในงานอีเว้นต์หรือคอนเสิร์ตที่มีข้อจำกัดในเรื่องพื้นที่และระยะห่างจากตัวแบบได้อีกทางหนึ่งด้วย
ที่ระยะ 100mm จะให้แสงแฟลร์แบบชวนฝันของ ZEISS Planar จับคู่กับโทนสีแพลตตินัมที่ดูนวลตาและหรูหรา พร้อมขับเน้นจุดเด่นของตัวแบบและใบหน้าด้วยเลนส์ถ่ายภาพระยะไกล 100มม. (4.3x) สามารถจับภาพการสื่ออารมณ์ของผู้คนในระยะใกล้ที่มีรายละเอียดสุดคมชัด
ทดสอบโหมด Portrait ในสภาพแสง Indoor
เมื่อทดสอบการถ่าย Portrait ในสภาพแสง Indoor หรือภายในอาคาร vivo X200 สามารถทำผลงานได้ดีมาก ๆ ไม่แพ้การถ่ายในสภาพแสง Outdoor โดยยังให้ความคมชัดและไวท์บาลานซ์ที่ถูกต้องแม่นยำ เรียกว่าพร้อมตอบโจทย์ในการถ่าย Portrait ได้ในทุกสภาพแสงอย่างแท้จริง
นอกจากจะมาพร้อมโหมดถ่ายภาพแบบสำเร็จรูปแล้ว vivo X200 ยังสามารถเลือกระยะโฟกัสและรูปแบบ Bokeh รวมถึง Style Portrait ได้อย่างยืดหยุ่นอีกด้วย
Nature, Biotar, B-speed
ระยะ 50mm พร้อมเปิดใช้โบเก้สไตล์ Nature ให้โบเก้ทรงกลมที่ดูเป็นธรรมชาติ
โบเก้สไตล์ Biotar ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากเลนส์ ZEISS Biotar 1.5/75 ให้โบเก้หมุนวนที่นำมาจากเอฟเฟกต์พิเศษของเลนส์กล้อง มอบประสบการณ์ภาพถ่ายที่ยอดเยี่ยมตามสไตล์ ZEISS
โบเก้สไตล์ B-speed เพิ่มเอฟเฟกต์โบเก้รูปทรงสามเหลี่ยมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเลนส์ ZEISS classic high-speed cine ในยุค 1970 ตอนกลาง
ZEISS Sonnar, ZEISS Planar, ZEISS Distagon
โบเก้สไตล์ ZEISS Sonnar เป็นโบเก้ที่ได้แรงบันดาลใจจากเลนส์ ZEISS Sonnar 2.8/180 มีจุดเด่นที่การเบลอละลายหลัง ทำให้พื้นหลังดูมีบรรยากาศโรแมนติก เหมาะสำหรับการถ่ายสตรีทพอร์ตเทรต
โบเก้สไตล์ ZEISS Planar โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเลนส์ ZEISS Planar 2.8/80 ให้ภาพสไตล์คลาสสิกที่เก็บรายละเอียดวัตถุ ขณะที่พื้นหลังก็ให้ความคมชัดของโบเก้
โบเก้สไตล์ ZEISS Distagon ได้แรงบันดาลใจจากเลนส์ ZEISS Distagon 2.0/28 มอบโบเก้หกเหลี่ยมในพื้นหลัง เผยให้เห็นถึงความงดงามอันน่าประทับใจ ทำออกมาสำหรับการแสดงภาพเชิงศิลปะ
ZEISS Cine-flare
พอร์ตเทรตสไตล์ ZEISS Cine-flare ขณะถ่ายภาพท่ามกลางแสงจ้า จะทำให้เกิดแสงแฟลร์ในสไตลเส้นรุ้งแบบพาดผ่าน รวมถึงบางมุมในสภาพแสงภายในอาคารจะได้แสงแฟลร์เหมือนในภาพยนตร์ (วงกลมสีทองแบบไล่ระดับ) ด้วยอัลกอริธึมขั้นสูงช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะได้ภาพพอร์ตเทรตที่คมชัดและมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
ZEISS Cinematic
โบเก้สไตล์ ZEISS Cinematic ถ่ายภาพพอร์ตเทรตในสไตล์ภาพยนตร์ด้วยอัตราส่วนภาพ 2.39:1 จะสร้างแสงแฟลร์วงรีและเอฟเฟกต์เส้นแสงสีน้ำเงิน โดยเฉพาะเมื่ออยู่ใกล้ไฟถนนในเวลากลางคืน
Face Beauty
สำหรับ Face Beauty ของกล้องหลังมี Natural Portrait มาให้ใช้งานเช่นกัน และสามารถปรับแต่งได้อย่างยืดหยุ่นเหมือนกล้องหน้า
Portrait Style
และมี Portrait Style มาให้ใช้งาน 9 รูปแบบ
บทสรุป
vivo X200 สมาร์ตโฟนระดับเรือธงรุ่นล่าสุดจากวีโว่ ได้ยกระดับการถ่ายภาพขึ้นไปอีกขั้นด้วยการอัปเกรดครั้งใหญ่ผ่าน vivo ZEISS Co-engineered ทั้งในระดับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ สามารถตอบโจทย์ทุกความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพให้คมชัดจากระยะไกล หรือการถ่ายภาพระยะใกล้ได้ครบทุกรายละเอียด สำหรับจุดขายในรอบนี้คือการซูมไกลที่ยังให้ความคมชัด พร้อมตอบโจทย์สายคอนเสิร์ต กีฬา และท่องเที่ยว ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
ส่วนในด้านดีไซน์ vivo X200 ได้รับการออกแบบโมดูลกล้องที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ และเลือกใช้วัสดุคุณภาพเกรดพรีเมียม นอกจากนี้ยังโดดเด่นด้วยการดีไซน์หน้าจอที่ถูกอัปเกรดให้ล้ำสมัยยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยีใหม่ Micro Quad Curved Screen นำเสนอหน้าจอแบนที่มีขอบมุมโค้งเล็กน้อยทั้ง 4 ด้าน แบบ 3D Curved Screen ตัดปัญหากวนใจคนที่เคยใช้จอโค้งแบบเดิม ช่วยลดการสัมผัสหน้าจอโดยไม่ตั้งใจ และยังจับหน้าจอได้กระชับมือยิ่งขึ้น ในขณะที่มอบความคมชัดและประสบการณ์รับชมคอนเทนต์ได้อย่างเต็มอิ่ม
สำหรับ vivo X200 มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Aurora Green สีเขียวใหม่ที่สื่อถึงความสง่างามของธรรมชาติ Ocean Blue สีน้ำเงินเข้มสุดเรียบหรูช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้ผู้ใช้งาน และสี Midnight Black แบบเดียวกันกับรุ่น Pro
1. vivo Care ประกันตัวเครื่อง 2 ปี และประกันหน้าจอแตก 2 ปี 1 ครั้ง (มูลค่า 10,999.-)
2. Premium Case (มูลค่า 890.-)
3. โปรเก่าแลกใหม่ รับส่วนลดเพิ่มจากราคาประเมินสูงสุด 8,000.-
เป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ที่ vivo Brand Shop ทุกสาขาและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
ผู้ใช้งานชาวไทยสามารถสัมผัสประสบการณ์ซูมชัดทุกเรื่องราวไปกับ vivo X200 Series พร้อมกันทั่วประเทศได้แล้ววันนี้ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดตามได้ที่เฟซบุ๊ก vivo Thailand หรือเว็บไซต์ https://vivo.com/th/
#vivoX200Series #ซูมชัดทุกเรื่องราว #vivoxZoomtopia