เมื่อปีที่แล้ว Vivo ได้เปิดตัว Vivo V9 ที่มาพร้อมจอรอยบากหรือ Notch ในช่วงต้นปีตามมาด้วย V11 และ V11i ที่มาพร้อมจอทรงหยดน้ำ Waterdrop Design ในช่วงปลายปี
มาปีนี้ได้ส่ง V15 Series ประเดิมด้วย V15Pro ออกมาทำตลาดก่อนด้วยหน้าจอที่ไร้ขอบ ไร้รอยบาก พร้อมกล้องเซลฟี่แบบ POP Up ความละเอียด 32 ล้านพิกเซลรุ่นแรกของโลก รวมทั้งกล้องหลัง 3 ตัว AI Triple Camera ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล และอัดแน่นด้วยสเปกสุดแรง
อุปกรณ์ในกล่อง
กล่องแพ็คเกจจิ้งของ Vivo V15Pro เป็นกล่องกระดาษแข็งสีขาวขนาดพอดีเครื่อง ด้านหน้ากล่องมีรูปด้านหน้าเครื่องขนาดใหญ่ พร้อมชื่อรุ่น และขนาดความจุ RAM และ ROM อยู่มุมขวาด้านบน ส่วนด้านหลังมีไอคอนสเปกเด่น และรายละเอียดต่างๆ
เมื่อเปิดกล่องออกมาจะพบกับตัวเครื่อง และอุปกรณ์ต่างๆ ได้แก่ อแดปเตอร์ชาร์จไฟ, สายดาต้าลิงค์แบบ microUSB , ชุดหูฟังแบบ in-ear ขนาดมาตรฐาน 3.5 มม., เคสซิลิโคนแบบใสขอบดำ, อุปกรณ์จิ้ม SIM Card, ใบรับประกัน และคู่มือการใช้งาน ส่วนฟิล์มกันรอยนั้นติดให้เรียบร้อยแล้ว
รูปลักษณ์ดีไซน์
Vivo V15Pro มาพร้อมดีไซน์โฉมใหม่ที่เรียกว่า Spectrum Ripple Design ซึ่งเป็นการผสมผสานกันระหว่างการไล่เฉดสี และลวดลายริ้วคลื่น และตารางที่สวยสะดุดตา โดยมีให้เลือก 2 สีคือ Topaz Blue และ Ruby Red ซึ่งสีที่ได้มารีวิว เป็นสี Topaz Blue ด้วยขนาด 157.25 × 74.71 × 8.21 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 185 กรัม
ด้านหน้าเครื่อง ตรงกลางด้านบนมีช่องลำโพงสนทนา ถัดลงมาเป็นหน้าจอแสดงผลที่มีชื่อเรียกว่า Ultra FullView Display แบบ Super AMOLED 16 ล้านสี ความละเอียด FHD+ 2340 x 1080 พิกเซล ขนาด 6.39 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.5:9 ครอบทับด้วยกระจกขอบโค้ง 2.5D โดยมีสัดส่วนระหว่างหน้าจอกับตัวเครื่องที่ 91.64%
ส่วนกล้องหน้าเซลฟี่เป็นแบบ Pop Up (เลื่อนอัตโนมัติ เมื่อเข้าฟังก์ชั่นกล้อง) ทำงานด้วยระบบ Electric Motor ที่มีสปริงช่วยผ่อนแรงเลื่อนขึ้น-ลงด้วยความเบาในระยะเวลา 0.46 วินาที มีการทดสอบเลื่อนขึ้นลงมากกว่า 300,000 ครั้ง และ 1,000 ครั้งต่อวัน นอกจากนี้ ยังสามารถปรับตั้งค่าเสียงเมื่อกล้องเลื่อนขึ้น-ลงได้ 3 เสียง
ด้านหลังเครื่องโดยมุมซ้ายด้านบนมีเลนส์กล้องดิจิทัล 3 ตัว AI Triple Camera ความละเอียด 48+8+5 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช LED ในแนวตั้ง และตรงกลางด้านล่างมีโลโก้ Vivo
ด้านซ้ายข้างเครื่องมีช่องสำหรับใส่การ์ดหน่วยความจำภายนอก microSD Card ที่แยกจากช่องใส่ซิมการ์ดออกมาเป็นช่องเดี่ยว กับปุ่มผู้ช่วยอัจฉริยะ “vivo Jovi” ซึ่งสามารถเรียกด้วยการกดปุ่ม Smart button สองครั้งหรือ เรียก Google Assistant ด้วยการกดเพียงครั้งเดียว
ด้านขวาข้างเครื่องมีปุ่มปรับเพิ่มลดระดับเสียง กับปุ่ม Power สำหรับเปิดและปิดเครื่อง
ด้านบนมีช่องไมโครโฟนตัดเสียง, ช่องชุดหูฟังขนาด 3.5 มม. และช่องเลื่อนสไลด์กล้องหน้าเซลฟี่แบบ POP Up
ด้านล่างเครื่อง ตรงกลางมีช่องเสียบชาร์จไฟและสายดาต้าลิงค์แบบ microUSB ส่วนด้านซ้ายมีช่องใส่ซิมการ์ดซึ่งรองรับ 2 ซิม กับช่องไมโครโฟน และด้านขวามีช่องลำโพงเสียง
สเปก Vivo V15Pro
ขนาด | 157.25 × 74.71 × 8.21 มิลลิเมตร |
น้ำหนัก | 185 กรัม |
หน้าจอ | Ultra FullView Display แบบ Super AMOLED 16 ล้านสี ความละเอียด FHD+ 2340 x 1080 พิกเซล ขนาด 6.39 นิ้ว |
หน่วยประมวลผล | Octa-core ความเร็ว 2.0GHz, ชิปเซ็ท Qualcomm Snapdragon 675 AIE, หน่วยประมวลผลกราฟิก Adreno 612 |
RAM | 6GB |
หน่วยความจำภายในเครื่อง | 128GB |
microSD Card | สูงสุด 256GB |
กล้องถ่ายภาพ | กล้องหน้าเซลฟี่แบบ POP Up ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสง f/2.0 รองรับฟีเจอร์ AI Face Shaping, AI Portrait Lighting และ AR Sticker, กล้องหลัง 3 ตัว AI Triple Camera โดยกล้องตัวแรกความละเอียด 48 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ขนาด 1/2.25 นิ้ว พร้อมเทคโนโลยี Quad Pixel Sensor โดยมีขนาด 1.6 ไมครอน และรูรับแสง f/1.8 สำหรับกล้องตัวที่สองเลนส์มุมกว้างพิเศษ AI Super Wide-Angle 120 องศาความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 และกล้องตัวที่สามสำหรับทำ Bokeh ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 รองรับฟีเจอร์ Live Photos, Bokeh, AI Portrait Lighting, AI Face Beauty, AI Body Shaping และ AI Scene Recognition รวมถึง Super Night Mode สำหรับถ่ายภาพกลางคืน |
ระบบปฏิบัติการ | Android 9.0 Pie ครอบทับด้วย Funtouch OS 9 |
เชื่อมต่อ | Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band, WiFi Direct, hotspot, Bluetooth 5.0, microUSB 2.0, USB On-The-Go |
รองรับระบบ | 4G LTE 800/900/1800/2100/2300/2600 MHz และ 3G 850/900/2100 MHz ( 4G และ 3G ทุกเครือข่ายในไทย) |
แบตเตอรี่ | 3,700mAh รองรับระบบชาร์จเร็ว Dual-Engine Fast Charging |
ราคา | 14,990 บาท |
คุณสมบัติการใช้งาน
Vivo V15Pro รันบนระบบปฏิบัตการ FunTouch OS 9 บนพื้นฐานระบบปฎิบัติการ Android 9 Pie มาตั้งแต่แกะกล่อง โดยหน้าจอหลักมาพร้อมไอคอนที่มาพร้อมไอคอนแอปที่มีความโค้งมน และสีสันสดใส สามารถปรับเปลี่ยนธีม หรือภาพพื้นหลังได้ตามใจชอบ รวมทั้งเลือกใช้งาน Widget ที่ต้องการ และตั้งค่า Home Screen ได้
Vivo V15Pro มาพร้อมฟีเจอร์ Jovi AI Engine ผู้ช่วยอันชาญฉลาด โดย Jovi Smart Scene จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับชีวิตประจำวันยิ่งขึ้น ด้วยความสามารถในการอัปเดตสภาพอากาศพร้อมการแจ้งเตือนการเดินทาง, การออกกำลังกายที่มีการเก็บสถิติครบถ้วน การแจ้งเตือนสิ่งที่ต้องทำ และการแจ้งเตือนในกีฬาที่เราชื่นชอบ เช่นแมตช์การแข่งขันในสัปดาห์นี้เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีอีก 2 ผู้ช่วยที่คุ้นเคยกันอย่าง Google Lens ที่ช่วยเชื่อมโยงความสามารถในด้านการค้นหาร่วมกับกล้องถ่ายรูปได้อย่างลงตัว เช่น เรายกกล้องไปที่วัตถุ อย่างเช่น เมาส์ หรือตึกอาคารต่าง ๆ ตัว Google Lens สามารถที่จะระบุรายละเอียดของตัวเมาส์ หรือสถานที่ออกมาทำให้เราได้รับทราบข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
ส่วนอีกหนึ่งผู้ช่วยก็คือ Google Assistant ที่พร้อมมอบความสะดวกสบายให้กับชีวิตของเราผ่านคำสั่งเสียง ซึ่งรองรับการทำงานได้อย่างยืดหยุ่นและมีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการสั่งการเล่นเพลงหรือวีดีโอ การโทร/การส่งข้อความ การนำทาง ช้อปปิ้งหรือกระทั้งการจองตั๋วเครื่องบินก็ยังทำได้เช่นกัน ถือว่า Vivo V15Pro มาพร้อมผู้ช่วยที่ทำให้ชีวิตเราความสะดวกสบายได้อย่างแท้จริง
ฟีเจอร์ด้าน Network และการโทรของ Vivo V15Pro มีความโดดเด่นด้วยการรองรับเทคโนโลยี Full Netcom 4.0 ทำให้สามารถสามารถจับสัญญาณ 4G/3G ได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิม รวมไปถึงยังรองรับ Dual VoLTE ที่สามารถเปิด VoLTE ได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิม ทำให้การโทรผ่านสัญญาณที่มีความเร็วสูงบนคลื่น 4G มีความคมชัดมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถใช้งานด้านการโทรควบคู่ไปกับการใช้งาน Data ได้อย่างราบลื่นอีกด้วย
ฟีเจอร์อื่น ๆ ในด้านการโทรที่ให้มาก็ถือว่าครบถ้วนและมีประโยชน์ในการใช้งานจริงของชีวิตประจำวัน เช่นฟีเจอร์บล็อคสาย บล็อคข้อความ ได้ตามที่ต้องการ อีกทั้งยังสามารถบันทึกสายขณะโทรได้โดยตรง ไม่ต้องลงแอปเพิ่มเติมแต่อย่างใด
สำหรับปุ่มนำทาง สามารถปรับตั้งค่าให้เหมาะกับความถนัดของเราได้ตามที่ต้องการ นอกจากนี้ยังมี Full Screen gesture ที่มาพร้อมฟีเจอร์สั่งการง่าย ๆ และสามารถใช้งานจอแสดงผลได้แบบเต็ม 100%
ซึ่ง Navigation gestures เป็นฟีเจอร์ที่ใช้การสไลด์นิ้วบนหน้าจอแสดงผลแทนการกดปุ่ม navigation เพื่อให้เหลือพื้นที่การใช้งานที่มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้ผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ว่าจะใช้รูปแบบการสั่งการแบบไหน เช่นการลากจากขอบด้านล่างจากตำแหน่งตรงกลาง เพื่อกลับไปที่หน้าโฮม ซึ่งก็เหมือนการกดที่ปุ่มโฮมนั่นเอง
โหมดการใช้งานอัจฉริยะ เป็นฟีเจอร์ที่มีให้ใช้งานมาอย่างยาวนานบนสมาร์ทโฟนของ Vivo ซึ่งฟีเจอร์เหล่านี้ก็คือการทำงานร่วมกับพวกเซ็นเซอร์ต่างๆ โดยเป็นการอำนวยความสะดวกในการใช้งานเป็นหลัก เช่น ปลดล็อคด้วยการโบกมือผ่านหน้าจอ การแจ้งเตือน การรับสายหรือเปลี่ยนเป็นโหมดแฮนด์ฟรีอัตโนมัติ ฯลฯ
โหมดใช้งานมือเดียวและการจับภาพหน้าจอที่มีความหลากหลาย สำหรับการจับภาพหน้าจอก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์พิเศษของ Vivo โดยสามารถจับภาพหน้าจอได้ยืดหยุ่นมาก ๆ ทั้งการลาก 3 นิ้วขึ้นไปจากหน้าจอแสดงผล
รวมไปถึงการจับภาพหน้าจอแบบยาวๆ หรือรูปแบบอิสระ อีกทั้งยังบันทึกหน้าจอในรูปแบบของวีดีโอได้อีกด้วย และอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ขาดไม่ได้ก็คือแอพโคลน ที่รองรับการใช้งานแอปพลิเคชั่นโซเชียลยอดนิยม เช่น Line, Facebook หรือ Instagram ได้พร้อมๆ กัน ถึง 2 แอคเคาท์ในเครื่องเดียว
โหมดมอเตอร์ไซค์และโหมดสำหรับเด็ก เป็นโหมดที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจจาก Vivo ไปยังลูกค้าหรือผู้ใช้งานอย่างแท้จริง ยกตัวอย่าง โหมดเด็กเป็นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในสังคมทุกวันนี้ ที่เด็กเล็กบางกลุ่มสุ่มเสียงที่จะมีสมาธิสั้น อารมณ์ร้อนและมีพฤติกรรมก้าวร้าวจากการติดเกม ติดโทรศัพท์, Tablet ของผู้ปกครองนั่นเอง
ส่วนโหมดมอเตอร์ไซค์ตรงนี้แม้จะขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานเป็นหลักที่จะเลือกปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของความปลอดภัยหรือไม่ ทั้งการสวมใส่หมวกกันน็อค การปฏิบัติตามกฎจราจร ฯลฯ แต่ก็ถือว่าเป็นการสร้างสรรค์ในเชิงบวกที่น่าชื่นชมมากๆ ครับ
ปิดท้ายกันไปด้วยการจัดสรรพลังงาน ในภาพรวมต้องบอกว่า Vivo V15Pro นั้นมีแบตที่อึดอย่างน่าประทับใจ หากเป็นการใช้งานทั่ว ๆ ไปไม่ได้เน้นเล่นเกม สามารถใช้งามได้ครบ 1 วันแบบสบาย ๆ
ตรงนี้นอกจากแบตเตอรี่ที่ให้ความจุมาสูงถึง 3,700mAh แล้ว ต้องบอกว่า Vivo V15Pro ปรับแต่ง Firmware มาได้ดีมาก ทำให้การจัดสรรพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไฮไลท์ฟีเจอร์เด่นบน Vivo V15Pro
สำหรับนวัตกรรมอันล้ำสมัย In-Display Fingerprint Scanning หรือการฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ภายในจอแสดงผลบน Vivo V15Pro นับเป็นรุ่นที่ 5 แล้วครับ โดยรอบนี้มีการอัปเกรดในส่วนของตัวเซ็นเซอร์ และเพิ่มชิ้นเลนส์เป็น 3 ชิ้น โดยมาพร้อมความไวในการปลดล็อดที่เร็วขึ้นซึ่งใช้เวลาเพียง 0.37 วินาทีเท่านั้น
สำหรับการทำงานของ In-Display Fingerprint Scanning จะไม่แตกต่างไปจากเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบปรกติทั่ว ๆ ไป โดยตัวเซ็นเซอร์จะแสดงผลเป็นรูปไอคอนรอยนิ้วมืออยู่ที่ด้านล่างของจอแสดงผล (จะดับไปเองเมื่อเข้าสู่โหมดสแตนบาย)
การปลดล็อคเพียงแค่แตะลงไปเบา ๆ ไม่ต้องออกแรงกดลงน้ำหนักมากกว่าปรกติแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังมี Effect ในขณะปลดล็อคหน้าจอที่เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ 3 รูปแบบ ซึ่งช่วยเสริมให้ขณะใช้งานดูมีความน่าตื่นตาตื่นใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ในแง่ของความเร็วถือว่ามีความใกล้เคียงกับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบปรกติ ส่วนเรื่องของความแม่นยำนั้นต้องบอกเลยว่าทำได้ดีมาก ๆ เช่นกันครับ
การเซ็ตอัพหรือการเพิ่มลายนิ้วมือเข้าไปในระบบ จะใช้วิธีเดียวกับการเพิ่มลายนิ้วมือบนเซ็นเซอร์ที่มีให้ใช้งานบนสมาร์ทโฟนทั่ว ๆ ไปครับ ผู้ใช้งานไม่ต้องปรับตัวหรือต้องทำอะไรเป็นพิเศษ อธิบายแบบง่าย ๆ เคยใช้งานเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบปรกติมาอย่างไร เมื่อมาใช้งาน Vivo V15Pro ก็ใช้งานเหมือนเดิมนั่นเองครับ
ระบบปลดล็อคด้วยใบหน้า face unlock บน Vivo V15Pro โดดเด่นด้วยฟีเจอร์ Face Access ที่สามารถตรวจจับจุดต่าง ๆ บนใบหน้าได้ถึง 1,024 จุด ซึ่งส่งผลให้ให้การปลดล็อคโทรศัพท์ได้ง่ายและรวดเร็วแม่นยำ ใช้เวลาเพียง 0.55 วินาที และยังทำงานได้ดีแม้ในที่แสงน้อยหรือในที่มืดได้โดยไม่มีปัญหา
Vivo V15Pro มาพร้อมจอแสดงผล Ultra FullView Display แบบ Super AMOLED 16 ล้านสี ใช้วัสดุในการกระจายแสงคุณภาพสูง E2 และยังแสดงสีสันตรงตามมาตรฐาน P3 100% ค่า Contrast Ratio อัตราส่วนความเปรียบต่างของสี 10,000,000:1 ที่ให้สีสันสว่างสดใส มีความคมชัด สามารถแสดงขอบเขตสีได้สมจริงแม่นยำ
อีกทั้งยังมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่เต็มตาถึง 6.39 นิ้ว ในอัตราส่วน 19.5:9 โดยมีสัดส่วนระหว่างหน้าจอกับตัวเครื่องที่ 91.64% และด้วยความที่ไม่มี Notch หรือรอยบาก ทำให้เป็นจอแสดงผลแบบไร้ขอบอย่างแท้จริง ทำให้การรับชมคอนเทนต์อย่าง YouTube, Netflix รวมไปถึงการเล่นเกมได้เต็มอรรถรสมากยิ่งขึ้น
ระบบชาร์จไว Dual-Engine Fast Charging จากการทดสอบจริง เมื่อลองชาร์จเมื่อระดับแบตเตอรี่เหลือที่ 10% ไปจนถึงระดับ 53% ใช้เวลาในการชาร์จเพียง 35 นาที ถือว่าชาร์จได้ไวน่าประทับใจครับ ทั้งนี้ควรใช้ สาย Micro USB และอแดปเตอร์ชาร์จที่ให้มาในกล่องนะเพื่อให้เกิดความปลอดภัยและได้ประสิทธิภาพสูงสุดครับ
Game Cube
โหมดเกม นอกจากการปรับแต่งทางด้านสมรรถนะให้เหมาะสมกับการเล่นเกมได้ดียิ่งขึ้นแล้ว ยังมาพร้อมฟีเจอร์อำนวยความสะดวกในด้านการแจ้งเตือนอีกด้วย อาทิ การปฏิเสธสาย/การรับสายในแบบเบื้องหลัง / การบล็อคการแจ้งเตือน / สามารถแสดงคีย์บอร์ดในขนาดย่อส่วน
เพื่อให้การเล่นเกมบน Vivo V15Pro มีความราบลื่นต่อเนื่อง โดยไม่มีอาการสะดุดติดขัดมารบกวนใจในขณะเล่นเกม ซึ่งฟีเจอร์นี้สามารถตอบโจทย์คอเกมหรือผู้ที่ชื่นชอบการเล่นเกมอย่างจริงจังได้เป็นอย่างดีเลยครับ
Benchmarks & Performance
Vivo V15Pro ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังจากชิปเซ็ตรุ่นใหม่ “Qualcomm Snapdragon 675 AIE” บนสถาปัตยกรรม 11 นาโนเมตร ที่เร็ว แรง และฉลาดขึ้น อีกทั้งยังจัดเสรรพลังงานได้ดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย เมื่อดูที่ผลคะแนน Benchmarks จะเห็นว่าแรงขึ้นจาก Snapdragon 660 แบบสัมผัสได้จริง
เมื่อดูในส่วนของผลคะแนน Benchmarks ถือว่าเป็นรุ่นกลาง ๆ ที่มาพร้อมความลื่นไหล และความแรงในระดับที่นำไปใช้งานทั่วไปและเล่นเกมได้แบบสบาย ๆ แถมยังมีจุดเด่นตรงที่มาพร้อม RAM ถึง 6GB แบบ DDR4 อีกด้วย รวมไปถึงเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ก็ให้มาอย่างครบถ้วน อาทิ Gyroscope, Magnetomete, Accelerometer ส่วนภาครับสัญญาณ GPS ก็มีความแม่นยำอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากครับ
Multimedia & Entertain
Music Player มาพร้อมจุดเด่นด้าน Software ด้วยฟีเจอร์ DeepField เอฟเฟ็กต์เสียงที่พัฒนาโดย Vivo ทำให้เสียงที่ได้มีความนุ่มลึก คมชัดใสเคลียร์ รองรับการจำลองระบบเสียงรอบทิศทาง 360 องศา
อีกทั้งยังปรับแต่งเสียงผ่าน EQ ได้ยืดหยุ่นและตรงใจผู้ใช้งานได้มากยิ่งขึ้น สำหรับคนที่ชื่นชอบการฟังเพลง Vivo V15Pro นั้นไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน
ในปัจจุบันสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่จะไม่ใส่ FM มาให้ใช้งาน แต่ Vivo ยังเอาใจผู้ที่ชื่นชอบฟังวิทยุ โดยมีวิทยุ FM แบบทศนิยมหนึ่งจุดมาให้ใช้งาน ในภาคสัญญาณถือว่าคมชัดใช้ได้ครับ ส่วนฟีเจอร์ก็ให้มาอย่างครบถ้วน เช่นการบันทึกไว้ฟังในแบบออฟไลน์ภายหลัง
VDO Player บน Vivo V15Pro รองรับการเล่นไฟล์วีดีโอความละเอียด 4K ได้อย่างไหลลื่น แถมยังมีฟีเจอร์ที่ให้ฟิลลิ่งใกล้เคียงกับแอปชื่อดังอย่าง MX Player เช่นการปัดบนหน้าจอฝั่งซ้ายเพื่อปรับระดับความสว่าง และปัดบนหน้าจอฝั่งขวาเพื่อปรับเพิ่ม/ลดระดับเสียงเป็นต้น
ลองทดสอบเกมฮิตๆ ในช่วงนี้ดูบ้าง
Asphalt 9 มาพร้อมกราฟฟิกสวยงาม แน่นอนว่าต้องการทรัพยากรทางด้าน Hardware ที่แรงอยู่ไม่น้อย ซึ่ง Vivo V15Pro นั้นเล่นเกมนี้ได้ลื่นไหลใช้ได้เลยครับ และไม่พบเจอการสะดุดหรือหน่วงจนผิดปรกติแต่อย่างใด งานนี้ต้องยกความดีให้ชิปเซ็ตรุ่นใหม่ Snapdragon 675 และฟีเจอร์ Dual Turbo ที่เพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกมได้ไหลลื่นมากยิ่งขึ้น
PUBG สามารถเล่นในระดับความละเอียดระดับสูงได้อย่างลื่นไหล ไม่มีอาการหน่วงสะดุดติดขัดให้หัวร้อนแต่อย่างใด ส่วน ROV ลากเฟรมเรทสูง ๆ แบบยาว ๆ ในทุกฉากไม่มีตก ไม่ว่าจะช่วงเดินเล่นชิล ๆ หรือยกพวกตะลุมบอนหมู่
สรุป Vivo V15Pro จัดเป็นสมาร์ทโฟน Mid-Range อีกหนึ่งรุ่นในตลาด ที่สามารถตอบโจทย์คอเกมได้เป็นอย่างดีเลยครับ
Camera & Sample
Vivo V15Pro มาพร้อมกล้องหลังแบบ Triple camera โดยกล้องหลัง 3 เลนส์ของ Vivo V15Pro มีจุดเด่นด้วยกล้องตัวแรกมีความละเอียดสูงถึง 48 พิกเซล กล้องตัวที่สองความละเอียด 8 ล้านพิกเซลเป็นเลนส์ ultrawide ใช้ในการถ่ายภาพมุมกว้าง และปิดท้ายด้วยกล้องตัวที่สาม ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล เป็น depth sensor ที่ช่วยในเรื่องการถ่ายหน้าชัดหลังเบลอและโบเก้ของภาพ
สำหรับเมนูอินเตอร์เฟซของกล้องถูกออกแบบให้มีความเรียบง่าย และสามารถเข้าถึงโหมดการถ่ายและฟีเจอร์ต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
นอกจากนี้ยังอัดแน่นไปด้วยฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI นั่นเอง ซึ่งจะช่วยให้การถ่ายรูปเป็นเรื่องง่ายแต่ได้ผลลัพธ์ที่ดี แม้จะไม่มีความรู้ ความชำนาญในด้านการถ่ายรูปมาก่อนก็ตาม เช่น ฟีเจอร์ AI Scene Recognition ที่สามารถตรวจจับวัตถุหรือสภาพแวดล้อมที่อยู่หลังกล้องให้แบบอัตโนมัติ
จากนั้นจะทำการแยกประเภทพร้อมปรับตั้งค่าการถ่ายให้เหมาะสมกับสถานการณ์นั้น ๆ เช่น เราส่องกล้องไปที่อาหาร ก็จะมีไอค่อนรูปอาหารแสดงขึ้นมาในมุมล่างซ้ายของจอแสดงผล จากนั้นตัว AI ก็จะทำการประมวลผลพร้อมปรับแต่งให้ภาพที่ถ่ายออกมาแล้วมีความสมบูรณ์ที่สุด
สำหรับฟีเจอร์ไฮไลท์ที่เคยมีให้ใช้งานบน Vivo X21 , V9, V11 ก็ยังคงให้มาอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น AR Stickers, Bokeh, Portrait mode, พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ เข้ามาให้ใช้งานอีกด้วย เช่น Night Mode ที่เป็นการถ่ายภาพซ้อน 12 ภาพ จากสภาพแสงที่มีความแตกต่างกัน
จากนั้นนำภาพที่ได้มารวมกันเป็นภาพเดียว ทำให้ภาพถ่ายกลางคืนหรือในที่แสงน้อย มีความสว่างและคมชัดโดยไม่ต้องพึ่งพาขาตั้งกล้อง และโหมด AI Body Shaping ที่หลาย ๆ คนต้องชื่นชอบ เพราะสามารถปรับแต่งรูปร่างของเราให้ดูเพรียวบางสมส่วน เช่น ปรับให้แขน ขา หรือเอวดูเล็กลงเป็นต้น
กล้องหน้ามาพร้อมความละเอียดจัดเต็ม 32 ล้านพิกเซล แน่นอนว่าจุดขายยังคงเป็น AI Face Beauty ที่สามารถใช้ความฉลาดจาก AI มาช่วยให้การถ่ายเซลฟี่มีความสนุกและได้ผลลัพธ์อันน่าประทับใจ แถมยังมีโหมด 3D Face Shaping ที่สามารถปรับแต่งการเซลฟี่ให้ยืดหยุ่นและตรงกับความต้องการของเราได้มากที่สุด
ในส่วนของตัวแอปอัลบั้มบน Vivo V15Pro ก็มีความฉลาดล้ำด้วย AI ที่ช่วยแยกพร้อมระบุประเภทภาพถ่ายให้โดยอัตโนมัติ โดยแยกเป็น 3 หมวดหมู่หลัก ได้แก่ แกลลอรีรูปภาพ, อัลบั้ม, การระบุภาพ AI เพื่อการค้นหาในภายหลังได้อย่างสะดวกง่ายขึ้น
ทดสอบกล้องหน้าในโหมด Auto โดยที่ยังไม่ใช่ AI Face Beauty ภาพที่ได้ให้ความคมชัดที่ดี และสกินโทนก็ก็ดูเป็นธรรมชาติไม่หลอกตาแต่อย่างใด
ลองเปิดใช้งาน AI Face Beauty ภาพที่ได้ดูสวยงามขึ้นแบบสัมผัสได้ ทั้งในส่วนของโครงสร้างของใบหน้าและสกินโทนที่ปรับแต่งให้มีความกระจ่างใสในแบบเป็นธรรมชาติ
นอกจากโหมด AI Face Beauty จะให้ภาพที่ดูสวยงามมีความเป็นธรรมชาติแล้ว Vivo V15Pro ยังมีโหมด 3D Face Shaping ที่สามารถปรับแต่งการเซลฟี่ให้ยืดหยุ่นและตรงกับความต้องการของเราได้มากที่สุด เช่นปรับผิวนวลกระจ่างใส, ปรับโครงสร้างใบหน้า, ปรับให้ดวงตากลมตา, ริมฝีปากอิ่ม, จมูกเรียวโด่ง, คางเรียว เป็นต้น
ฟีเจอร์ Portrait light effects จะช่วยเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ในการเซลฟี่ และการถ่าย Portrait ด้วยกล้องหลัง ซึ่งจะให้ฟิลลิ่งที่แปลกใหม่โดยไม่ต้องพึงพาอุปกรณ์เสริม โดยอัลกอริทึม AI ของ V15Pro จะปรับภาพใบหน้าสองมิติให้กลายเป็นสามมิติ และปรับแสงที่ใบหน้า ให้ภาพออกมาโดดเด่น ซึ่งเราสามารถเลือกเอฟเฟ็กต์ได้ทั้งแบบ Studio Light, Stereo Light, Loop Light, Rainbow light, และ Monochrome background
Studio Light
Stereo Light
Loop Light
Rainbow light
Monochrome background
AR Stickers หรือการใส่อีโมจิหรือสติ๊กเกอร์ 3D น่ารัก ๆ ฟรุ้งฟริ้ง มุ้งมิ้งลงไปในรูปถ่ายของเรา โดยรองรับการทำงานทั้งกล้องหน้าและหลัง สามารถบันทึกเป็นไฟล์ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว
ทั้งนี้โหมด AR Selfie สามารถที่จะดีเทคจับภาพได้มากกว่า 1 ใบหน้าพร้อมกัน ทำให้เมื่อเราถ่ายเซลฟี่กับเพื่อน ๆ ตัวกล้องก็จะใส่ AR Stickers ให้เพื่อนที่อยู่ในเฟรมของเราด้วย
กล้องหลัง Triple camera ขับเคลื่อนด้วย AI อันชาญฉลาด
คุณภาพกล้องหลังของ Vivo V15Pro อยู่ในเกณฑ์ที่น่าประทับใจมากครับ ทั้งความคมชัดและความแม่นยำของไวท์ บาลานซ์ โดยรูปนี้จะใช้โหมด Auto เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับโหมด Portrait Bokeh mode ที่ด้านล่าง
เมื่อเปิดโหมด Portrait Bokeh mode จะเห็นได้ว่าการละลายฉากหลังดูเป็นธรรมชาติ อีกทั้งวยังสามารถเก็บดีเทล ายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่นปรอยผม หรือพวกเส้นขอบของเสื้อผ้าได้ค่อนข้างดีอีกด้วยครับ
Auto mode & Portrait mode
Auto mode & Portrait mode
สำหรับกล้องหลังของ Vivo V15Pro ก็มี AI Face Beauty มาให้ใช้งานไม่ต่างไปจากกล้องหน้าเลยครับ รวมไปถึงฟีเจอร์ Face Shaping ด้วย เรียกว่ากล้องหน้าทำได้อย่างไร กล้องหลังก็ทำได้ไม่แตกต่างกัน
และในโหมด AI Face Beauty สามารถเปิดใช้ Portrait mode ทำให้ภาพภาพที่ออกมานอกจากความสวยงามของ Face Beauty แล้ว ยังได้เรื่องของมิติของการละลายฉากหลังจากโหมด Portrait อีกทางหนึ่งด้วย
ฟีเจอร์ AI Portrait Framing จะช่วยให้การถ่ายภาพบุคคลได้สวยงามและสะดวกง่ายดายขึ้น โดยฟีเจอร์นี้ จะตรวจจับภาพใบหน้าบุคคลที่อยู่ในเฟรม พร้อมแนะนำการหันกล้องไปในตำแหน่งที่เหมาะสม ซึ่งก็คือการจัดองค์ประกอบของภาพ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดนั่นเอง ตรงนี้ช่วยในเรื่องการถ่ายภาพบุคคลได้ดีมาก แม้เราจะถ่ายรูปไมเก่งก็ตาม
ตัวอย่างภาพที่ใช้งานฟีเจอร์ AI Portrait Framing
AI Blacklight HDR ประโยชน์ของโหมดนี้ก็คือ เมื่อเราถ่ายเซลฟี่หรือถ่ายรูปด้วยกล้องหลังในสภาพแสงที่มีความเปรียบต่างมาก ๆ หรือเมื่อย้อนแสง ถ้าเปิด HDR จะช่วยในเรื่องการเกลี่ยสภาพแสงโดยรวมและดีเทลของภาพให้มีความสมดุล อีกทั้งยังช่วยให้ใบหน้าของเราไม่ดำเนื่องจากการถ่ายย้อนแสงอีกด้วย
ตัวอย่างภาพบนจะเห็นว่าท้องฟ้าและฉากหลังนั้นสว่างจ้าจนเกินไป ส่วนภาพด้านล่างเมื่อเปิด HDR แล้วจะมีการเกลี่ยแสงที่สมดุล อีกทั้งสามารถดึงรายละเอียดกลับมาทั้งใบไม้และท้องฟ้าที่ด้านหลัง ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโหมดที่มีประโยชน์และใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันของเรา
Auto
เปิดใช้งาน Ultra wide มุมมองกว้างพิเศษ
เปิดใช้งาน Ultra wide มุมมองกว้างพิเศษ
โหมด Auto
Night Mode
โหมด Auto
Night Mode
48 ล้านพิกเซล
48 ล้านพิกเซล
มีฟิลเตอร์ให้เลือกใช้งานมากมาย
บทสรุป
Vivo V15Pro ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่สานต่อนวัตกรรมหน้าจอไร้ขอบที่แท้จริง พร้อมกล้องเซลฟี่แบบ POP Up ของ Vivo NEX ที่เปิดตัวไปเมื่อปีที่ผ่านมา และยังเป็นรุ่นแรกในตระกูล V Series
โดยมาพร้อมจุดเด่นต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ที่สวยหรูดูพรีเมี่ยม ด้วยดีไซน์ไล่เฉดสีแบบ Spectrum Ripple Design สัมผัสได้ถึงความหรูหรา และความประณีตในการออกแบบ หน้าจอไร้ขอบที่แท้จริงหรือ AMOLED Ultra FullView ไม่มีรอยบาก และไม่ต้องเจาะรูเพื่อฝังกล้องบนหน้าจอ
มาพร้อมนวัตกรรมกล้องหน้าแบบเลื่อนอัตโนมัติ Elevating Front Camera ความละเอียด 32 ล้านพิกเซลรุ่นแรกของโลก ส่วนกล้องหลัง 3 คัว มาพร้อมกล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล และเทคโนโลยี AI สุดล้ำอย่าง AI Face Beauty, AI Portrait Framing และ AI Super Night Mode
ที่พิเศษคือ ฟีเจอร์ Al Body Shaping ที่สามารถปรับแต่งรูปร่างทุกสัดส่วนของร่างกาย อย่างเอว สะโพก และรูปขาให้ออกมาสวยงามได้ที่ติอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องผ่านแอพพลิเคชั่นใดๆ เพิ่มเติม โดนใจสาวๆ แน่นอน
ในส่วนสเปกอื่นๆ ของ V15Pro นั้นก็ใช่ย่อย โดยใช้ชิปเซ็ท Snapdragon 675 AIE, RAM 6GB และหน่วยความจํา ROM 128GB, ติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังบนหน้าจอรุ่นที่ 5
รวมทั้งรองรับการปลดล็อคหน้าจอด้วยใบหน้า AI Face Access และใช้แบตเตอรี่ความจุ 3,700mAh รองรับชาร์จเร็ว Dual Engine fast charging สามารถชาร์จเต็ม 24% ในเวลาเพียง 15 นาที
โดยรวมแล้วแม้ว่า Vivo V15Pro จะไม่ใช่สมาร์ทโฟนเรือธง แต่จากสเปกที่ให้มานี้เรียกว่าจะจัดเต็มเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นน้องๆ เรือธงเลยก็ว่าได้
ทั้งนีี้ Vivo V15Pro ราคา 14,999 บาท มีให้เลือก 2 สีด้วยกันคือ Topaz Blue (สีน้ำเงิน) และ Coral Red (สีแดง) ผู้ที่สนใจสามารถ Pre – Order เพื่อเป็นเจ้าของก่อนใครได้แล้วตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 8 มีนาคม 2562 ที่ Vivo Brand Shop ทุกสาขาและร้านตัวแทนจำหน่าย รับสิทธิ์ได้เครื่องก่อนใครพร้อมทั้งได้รับสิทธิพิเศษอื่นๆ มากมาย และจะเริ่มวางจําหน่ายอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 9 มีนาคม 2562
คลิกช้อปสมาร์ทโฟน Vivo ที่นี่ >>>