รูปลักษณ์ดีไซน์ / การออกแบบ
Galaxy S23 FE มีดีไซน์เหมือนกับ Galaxy S23 และ Galaxy S23+ สวยหรูดูพรีเมียม ตัวเครื่องมีให้เลือก 4 สีด้วยกันคือ Mint, Cream, Graphite และ Purple พร้อมสีพิเศษอีก 2 สีคือ สีฟ้า Indigo และสีส้ม Tangerine ที่เฉพาะสั่งซื้อออนไลน์จำหน่ายที่ Samsung.com และ Samsung Experience Store
ซึ่งสีที่ทาง MobileOcta ได้มารีวิวคือสีพิเศษ Tangerine สีส้มสวยเด่นสะดุดตา ครอบทับฝาหลังด้วยกระจก Gorilla Glass 5 พร้อมกรอบตัวเครื่อง Armor Aluminum ที่ช่วยปกป้องตัวเครื่องได้เป็นอย่างดี และด้วยขนาดที่เหมาะมือกำลังดี ทำให้พกพาได้สะดวก
ด้านหน้ามาพร้อมหน้าจอแสดงผล Infinity-O แบบ Dynamic AMOLED 2X ความละเอียด FHD+ 1080 x 2340 พิกเซล (403 ppi) ขนาด 6.4 นิ้ว (Galaxy S23 มีขนาด 6.1 นิ้ว ขณะที่ Galaxy S23+ มีขนาด 6.6 นิ้ว) ในอัตราส่วน 19.5:9 โดยมีอัตรารีเฟรชเรทสูงสุด 120Hz, รองรับ Always-on display และครอบทับด้วยกระจกกันรอย Corning Gorilla Glass 5
ตรงกลางด้านบนเจาะรูฝังกล้องเซลฟี่ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล ในส่วนของลำโพงสนทนามาในรูปทรงแนวยาว และจัดวางอยู่ในขอบด้านบนของตัวเครื่อง ซึ่งช่วยเพิ่มพื้นที่แสดงผลได้อีกทางหนึ่งด้วย
ด้านหลังดีไซน์ดูเรียบง่ายในสไตล์มินิมอล โดยมุมซ้ายด้านบนติดตั้งกล้อง 3 ตัวนูนเด่นขึ้นมาวางเรียงในแนวตั้ง โดยไม่มีฐานโมดูลรอง และมีไฟแฟลช LED อยู่ด้านขวาข้างเลนส์กล้อง ถัดลงมาตรงกลางด้านล่างมีโลโก้ Samsung
สำหรับกล้อง 3 ตัวประกอบด้วย
- กล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8, ระบบ PDAF และระบบกันสั่น OIS
- กล้องตัวที่ 2 เลนส์ Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4,ระบบ PDAF, ซูมออปติคอล 3 เท่า และซูมดิจิทัล 30 เท่า
- กล้องตัวที่ 3 เลนส์ Ultra Wide รูรับแสง f/2.2 ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
ด้านซ้ายข้างตัวเครื่องมีแถบเส้นเสาอากาศ 2 เส้น
ส่วนด้านขวาข้างเครื่องมีแถบเส่นเสาอากาศ 2 เส้น, ปุ่มปรับเพิ่ม/ลดระดับเสียง และปุ่ม Power สำหรับเปิด/ปิดเครื่อง
ด้านบนของตัวเครื่องมีช่องไมโครโฟนตัวที่ 2 สำหรับตัดเสียงรบกวน กับช่องสำหรับใส่ SIM Card สำหรับช่องถาดซิมการ์ดจะเป็นแบบ Dual Slot โดยแบ่งเป็นช่องแรกใส่ SIM Card แบบ nanoSIM 1 และช่องที่ 2 ใส่ SIM Card แบบ nanoSIM 2
และด้านล่างเครื่องประกอบไปด้วยแถบเส้นเสาอากาศ 2 เส้น, ช่องไมโครโฟนสนทนา, พอร์ต USB Type-C, และช่องลำโพงเสียง
ซอฟต์แวร์และฟีเจอร์
Galaxy S23 FE รันบนระบบปฏิบัติการ Android 13 และครอบทับด้วย One UI 5.1 ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นใหม่ๆ มากมาย ช่วยให้ผู้ใช้งานใช้งานได้อย่างสะดวกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตั้งค่า และตั้งค่าความเป็นส่วนตัว, เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน, ความปลอดภัย และการทำงานร่วมกับอุปกรณ์อื่นได้อย่างไหลลื่น
ทั้งนี้ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งในส่วนของเลย์เอาท์หน้าจอหลัก ทั้งรูปแบบคอลัมน์ และหน้า Apps Drawer ได้ตรงกับไลฟ์สไตล์ความชื่นชอบของแต่ละบุคคล รวมถึงเปลี่ยนภาพพื้นหลัง ,รูปแบบธีมที่สวยงาม และภาพ AOD ซึ่งมีให้เลือกใช้งานอย่างหลากหลาย สามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้จากแอปพลิเคชัน ร้านขายธีม หรือ Galaxy Themes ที่ติดตั้งมาให้เรียบร้อยแล้วภายในเครื่อง
Apps edge ฟีเจอร์ยอดนิยมที่ออกแบบมาเพื่อสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมขอบจอโค้งในแบบ edge to edge และถึงแม้ว่าหน้าจอของ Galaxy S23 FE จะไม่ได้เป็นจอโค้งแบบ edge to edge แต่ก็สามารถประยุกต์ใช้งานฟีเจอร์นี้ เพื่อช่วยให้สามารถเข้าถึงทางลัดของแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น
รองรับอัตรารีเฟรชเรทสูงสุด 120Hz แบบปรับได้ สลับอัตโนมัติระหว่าง 60 และ 120Hz ช่วยให้การแสดงกราฟิกลื่นไหล และลดการสิ้นเปลืองพลังงานโดยไม่จำเป็น
ฟีเจอร์ด้าน Network และการโทรมีความโดดเด่นด้วยการรองรับเทคโนโลยี 5G ในแบบ NSA / SA และ Sub 6 รวมไปถึงยังรองรับการโทรผ่าน Wi-Fi และ Dual VoLTE ที่สามารถเปิด VoLTE ได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิม ทำให้การโทรผ่านสัญญาณที่มีความเร็วสูง มีความคมชัดมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังใช้งานด้านการโทรควบคู่ไปกับการใช้งาน Data ได้อย่างราบลื่นอีกด้วย
เชื่อว่าหลายคนอาจจะพลาดกับฟีเจอร์สุดเทพอย่าง Adapt Sound กันอยู่ไม่น้อย ซึ่งฟีเจอร์นี้จะช่วยมอบประสบการณ์การฟังเพลงที่ดีและเหมาะสมที่สุดผ่านทางหูฟังที่ปรับแต่งให้เกิดความสมดุล โดยเราสามารถกำหนดโปรไฟล์ของรูปแบบเสียง ได้ตรงกับไลฟ์สไตล์ของตนเอง
Game Launcher ฟีเจอร์ที่พร้อมตอบโจทย์คอเกมสายฮาร์ดคอร์ ที่ต้องการประสิทธิภาพในการเล่นเกมแบบขั้นสุด รวมถึงผู้ใช้งานทั่ว ๆ ไป ที่ต้องการปรับตั้งค่าการเล่นเกมให้สมดุล ทั้งการประหยัดพลังงานและการใช้ข้อมูลเดต้าอย่างเหมาะสม
Samsung cloud มาพร้อมฟีเจอร์ในการสำรองและคืนค่าให้กับตัวสมาร์ตโฟนได้อีกด้วย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบริการที่ออกแบบมาเพื่อให้ลูกค้าของซัมซุงได้รับความสะดวกสบายในการใช้งาน ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปใช้งานสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ แต่ข้อมูลสำคัญ ๆ ก็ยังอยู่ครบถ้วน
Bixby Routines ผู้ช่วยอัจฉริยะที่อัปเกรดความสามารถขึ้นมาอีกระดับ เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกก็ใส่มาให้แบบไม่มีกั๊ก ทั้งโหมดใช้งานมือเดียว, ลิงก์กับ Windows, ฟีเจอร์ Motions & Gestures ที่ทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์ของตัวเครื่อง เช่น ยกเครื่องเพื่อปลุกหน้าจอ, การเปิดหน้าจอค้างไว้ในขณะที่มองหน้าจอ, การใช้ฝ่ามือเพื่อจับภาพหน้าจอ เป็นต้น และอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ขาดไม่ได้ก็คือ แอปโคลน ที่รองรับการใช้งานแอปพลิเคชั่นโซเชียลยอดนิยม เช่น Line, Facebook หรือ Instagram และอื่น ๆ ได้พร้อม ๆ กัน ถึง 2 แอคเคานท์ในเครื่องเดียว
Device care เป็นเครื่องมือสำหรับจัดการประสิทธิภาพภายในตัวเครื่อง ทั้งการลบไฟล์ขยะและไฟล์แคชของระบบ, การจัดการด้านหน่วยความจำ, การสแกนไวรัส และการดูแลแบตเตอรี่เป็นต้น ซึ่งแอปฯนี้จะช่วยให้การทำงานของตัวเครื่องเต็มเปี่ยมประสิทธิภาพ มีความรวดเร็วและความปลอดภัยอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
รองรับการปลดล็อคหน้าจอด้วยใบหน้า Face Unlock เพียงลงทะเบียนด้วยใบหน้า ซึ่งจะใช้ได้เพียงหน้าเดียวเท่านั้น จากนั้นเมื่อหน้าจอติดมองไปยังบนหน้าจอก็สามารถปลดล็อคได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ใบหน้าเพื่อเข้าสู่แอปที่ป้องกันไว้ หรือในพื้นที่ที่ต้องการความปลอดภัยได้
ติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ สามารถสแกนได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ โดยจดจำลายนิ้วมือได้สูงสุดถึง 5 ลายนิ้วมือ
Galaxy S23 FE มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดความจุ 4,500mAh ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างยาวนานข้ามวัน แถมยังมีระบบชาร์จเร็วด้วยเทคโนโลยี 25W Super Fast Charging ผ่านพอร์ตเชื่อมต่อ USB Type-C (อุปกรณ์ชาร์จ Super Fast Charging แบบ 25W วางจำหน่ายแยกต่างหาก)
รวมทั้งรองรับระบบชาร์จเร็วแบบไร้สาย Wireless Charging 2.0, มีโหมดประหยัดพลังงานที่ช่วยยืดอายุการใช้งาน และรองรับการแชร์พลังงานแบบไร้สายหรือชาร์จแบตเตอรี่ให้กับอุปกรณ์อื่นที่รองรับด้วย
Galaxy S23 FE ได้รับการออกแบบมาให้ทนทานต่อน้ำและฝุ่นในระดับมาตรฐาน IP68 อิงตามสภาพแวดล้อมการทดสอบใต้น้ำจืดลึกสูงสุด 1.5 เมตรเป็นเวลา 30 นาทีในห้องปฏิบัติการ แต่ไม่แนะนำให้ใช้ในน้ำทะเลหรือน้ำในสระว่ายน้ำ การกันน้ำและฝุ่นของอุปกรณ์นั้นไม่ใช่คุณสมบัติถาวร และอาจเสื่อมสภาพได้ตามการใช้งาน
ประสิทธิภาพ
Galaxy S23 FE ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Exynos 2200 บนสถาปัตยกรรม 4 นาโนเมตร ประมวลผล Octa Core ความเร็ว 2.8GHz ผสานด้วยหน่วยประมวลผลกราฟิก Xclipse 920 ที่ใช้สถาปัตยกรรมของ AMD RDNA2 ที่รองรับฟีเจอร์แบบเดียวกันกับที่เราเห็นบนการ์ดจอสำหรับคอมพิวเตอร์
ยกตัวอย่างเช่น Ray Tracing ที่จะเข้ามาช่วยในการเรนเดอร์แสงให้มีความสมจริง รวมถึง Variable rate shading เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลให้การเล่นเกมบนสมาร์ตโฟนให้ประสบการณ์ราวกับการเล่นเกมบน PC และคอนโซล
จากการทดสอบประสิทธิภาพบนแอปพลิเคชัน AnTuTu ปรากฎว่า Galaxy S23 FE ทำได้ 1,070,436 คะแนน ขณะที่แอปพลิเคชัน Geekbench 6 ทำได้ 1,587 คะแนน สำหรับ Single-Core และ 3,826 คะแนน สำหรับ Multi-Core
สำหรับหน่วยความจำของ Galaxy S23 FE มี 2 ตัวเลือกคือ ROM 128GB และ ROM 256GB ซึ่งทั้ง 2 ตัวเลือกมาพร้อม RAM 8GB เท่ากัน และมีฟีเจอร์ RAM Plus ช่วยขยายหน่วยความจำได้อีก 2GB / 4GB / 6GB / 8GB จึงเปรียบเสมือนมีหน่วยความจำ RAM สูงสุด 16GB
ส่วนในแง่การใช้งานจริงถือว่าเป็นสมาร์ตโฟนสเปกระดับแฟลกชิปตามมาตรฐาน S Series ที่มาพร้อมความลื่นไหล มอบความแรงในระดับที่นำไปใช้งานทั่วไปและเล่นเกมที่มีกราฟิกหนัก ๆ ได้แบบสบาย ๆ สำหรับเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ก็ให้มาอย่างครบถ้วน อาทิ Gyroscope, Magnetic, Accelerometer ในส่วนของภาครับสัญญาณ GPS พบว่ามีความเร็วและความแม่นยำอยู่ในเกณฑ์ที่น่าประทับใจมาก ๆ
มัลติมีเดียและความบันเทิง
Music Player เป็นแอปฯที่พัฒนาโดยซัมซุง โดยมาพร้อมความสามารถแบบจัดเต็มไม่แพ้แอปฯเสียเงินที่มีอยู่ในสโตร์ เพียงแต่ไม่ได้มีการพรีโหลดมาให้ตั้งแต่โรงงาน เราต้องทำการดาวน์โหลดมาติดตั้งเองในภายหลัง ในแง่ความสามารถนั้นครบเครื่องจัดเต็มตามที่เกริ่นไป
ส่วนสิ่งที่ทำให้เกิดความโดดเด่นและสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ใช้งาน ก็คือในด้านกำลังขับและเทคโนโลยี Dolby Atmos ที่ช่วยปรับปรุงให้คุณภาพเสียงนั้นยกระดับขึ้นไปอีกขั้น อีกทั้งยังสามารถปรับแต่ง อีควอไลเซอร์ได้ยืดหยุ่นตรงกับรสนิยมการฟังเพลงของแต่ละบุคคลได้เป็นอย่างดี จึงทำให้การฟังเพลงหรือรับชมคอนเทนต์นั้นเต็มอิ่มครบทุกอรรถรสอย่างแน่นอน
สำหรับ Video Player บน Galaxy S23 FE รองรับการเล่นไฟล์วีดีโอความละเอียดสูงระดับ 4K ได้อย่างสมูทไหลลื่น แถมยังมีฟีเจอร์ที่ให้ฟิลลิ่งใกล้เคียงกับแอปชื่อดังอย่าง MX Player เช่นการปัดบนหน้าจอฝั่งซ้ายเพื่อปรับระดับความสว่าง และปัดบนหน้าจอฝั่งขวาเพื่อปรับเพิ่ม/ลดระดับเสียงเป็นต้น
ทดสอบการเล่นเกม
Galaxy S23 FE เลือกใช้ชิปเซ็ต Exynos 2200 ซึ่งเป็นชิประดับเรือธงของ Samsung ที่ออกแบบมาตอบโจทย์เกมเมอร์โดยเฉพาะ โดยถูกสร้างขึ้นบนกระบวนการผลิตระดับ 4 นาโนเมตร มาพร้อม CPU แบบ Octa Core บนสถาปัตยกรรมแบบ 3 คลัสเตอร์ ประกอบด้วย Arm Cortex-X2 (1 คอร์), Cortex-A710 (3 คอร์) และ Cortex-A510 (4 คอร์)
ทดสอบการเล่นเกม เริ่มต้นด้วย Metal Slug: Awakening เกมแนว Action Shooting ในรูปแบบ 3D ที่ภาพสวยคม สามารถปรับตั้งค่าคุณภาพของภาพสูงสุด ในการทดสอบใช้งานจริง พบว่าการการเคลื่อนที่ การยิง รวมถึงเอฟเฟกต์ภายในเกม เกมไม่กินพลังงานทรัพยากรเครื่องมากเกินไป ทำให้มีความสมูทลื่นไหลที่ดี ไม่รู้สึกถึงอาการแลค และยังมีความเสถียรในระดับที่น่าพึงพอใจมาก ๆ อีกด้วย
ต่อด้วย ROV เกม MOBA ระดับตำนานที่ครองใจเกมเมอร์ชาวไทยมาได้ตั้งแต่วันเปิดตัวจนถึงปัจจุบัน โดยตั้งค่าเลือกเฟรมเรทสูงโดยรักษาความ stable ไว้ที่ระดับ 59-60fps แบบต่อเนื่อง ในภาพรวม Galaxy S23 FE นั้นใช้ชิปเซ็ตเรือธง และ RAM 8GB ที่มีความแรงทำให้ตีป้อมได้อย่างสมูทไหลลื่น โดยไม่หัวร้อนอย่างแน่นอน
ปิดท้ายด้วย PUBG Mobile เกมแนว Battle Royale ซึ่งเป็นเกมที่ต้องการทรัพยากรขั้นสูง ตั้งค่ากราฟิกที่ระดับ “HD” และเฟรมเรทระดับสูง ซึ่งในการทดสอบจริง ทั้งการเคลื่อนไหว รวมถึงแอคชั่นต่าง ๆ ภายในเกมนั้นให้ความสมูทต่อเนื่อง โดยไม่รู้สึกถึงอาการหน่วงแต่อย่างใด ส่วนหนึ่งต้องยกความดีให้กับ Firmware ที่ปรับแต่งมาเป็นอย่างดี รวมถึงฟีเจอร์ Game Launcher ที่ช่วยเพิ่มสมรรถนะให้เหมาะสมกับการเล่นเกมได้ดียิ่งขึ้น