คลังเก็บ

รีวิว Samsung Galaxy Fit3 อัปเกรดครั้งใหม่ จอใหญ่ ดีไซน์หรู พร้อมฟีเจอร์ตรวจจับการล้มขอความช่วยเหลือ SOS ได้

หลังจากปล่อยให้แฟน Galaxy Fit Series รอมาร่วม 4 ปี ในที่สุด Samsung Galaxy Fit3 สมาร์ทแบนด์รุ่นใหม่ก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการ และมาอยู่ในมือของทีมงาน MobileOcta สำหรับการรีวิวแล้วครับ หลังจากเปิดตัว Galaxy Fit2 รุ่นก่อนหน้ามาตั้งแต่เดือนกันยายน 2020 

samsung Galaxy Fit 3

จนมาถึงปี 2024 ปีนี้ Samsung Galaxy Fit3 ก็มาพร้อมการอัปเกรดแบบ All-New ทั่วทั้งกระดาน ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์การออกแบบที่ดูทันสมัย ใช้วัสดุงานประกอบที่พรีเมี่ยมขึ้น อัปเกรดฟีเจอร์การใช้งานให้ครอบคลุมด้านสุขภาพให้ดีกว่าเดิม และมีเซ็นเซอร์ที่เป็นประโยชน์อย่างการตรวจจับการล้มเพื่อขอความช่วยเหลือ SOS ได้หากเกิดเหตุไม่คาดฝันหรืออุบัติเหตุขึ้น 

โดยในรีวิวนี้เราได้ Samsung Galaxy Fit3 มาเทสสักระยะนึงแล้ว เราจะมาเล่าความประทับใจ รวมถึงจุดสังเกตของอุปกรณ์มาเล่าให้ฟังกันแบบเพื่อนเล่าให้เพื่อนฟังเช่นเคยครับ ไปติดตามกันเลย

แกะกล่อง Samsung Galaxy Fit3

  • สมาร์ทแบนด์ Samsung Galaxy Fit3
  • สายชาร์จแม่เหล็ก
  • คู่มือและใบรับประกัน

อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องก็จะประมาณนี้ครับ ถือว่าอยู่ตามเกณฑ์มาตรฐานที่สมาร์ทแบนด์ส่วนใหญ่ให้มากัน คือให้มาแค่อุปกรณ์ สายชาร์จ คู่มือ และใบรับประกัน ซึ่งไม่ได้แถมหัวชาร์จมาให้ ให้มาแค่เพียงสายชาร์จเท่านั้น โดยจะเป็นสายชาร์จแม่เหล็กที่ดูดแรงค่อนข้างดี ไม่หลุดง่ายครับ ซึ่งการชาร์จจะชาร์จร่วมกับหัวชาร์จของมือถือหรือเสียบมือถือได้โดยตรงก็ได้ หากมือถือรองรับฟีเจอร์ Reverse Charging อย่าง Samsung Galaxy S24 Ultra รุ่นนี้ เพราะหัวของสายชาร์จจะเป็น USB-C ครับ

สเปก Samsung Galaxy Fit3

  • หน้าจอขนาด 1.6 นิ้ว AMOLED ความละเอียด 256×402 พิกเซล 302 PPI
  • ขนาด 42.9 x 28.8 x 9.9 มม. 
  • น้ำหนัก 36.8 กรัม (รวมสาย)
  • วัสดุงานประกอบเป็นอtลูมิเนียม
  • หน่วยความจำ 16MP + 256MB
  • เซ็นเซอร์ Accelerometer, Gyro, Optical Heart Rate, Barometer, Light Sensor, SpO2
  • แบตเตอรี่ 208mAh รองรับการใช้งานทั่วไปได้ 13 วัน
  • การควมคุม หน้าจอสัมผัส + 1 ปุ่มกด
  • การชาร์จ POGO Pin – Magnetic
  • การเชื่อมต่อ Bluetooth 5.3
  • มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น 5ATM + IP68
  • ระบบปฏิบัติการ FreeRTOS
  • ระบบพิเศษ Galaxy Experiences + Emergency SOS
    • ตรวจจับการล้ม / SOS
    • Mode Sync (Sleep/Do Not Disturb)
    • ระบบค้นหาอุปกรณ์
    • ควบคุมกล้องสมาร์ทโฟน
  • ระบบติดตามสุขภาพ
    • ตรวจสอบคุณภาพการนอนหลับพร้อมให้คำแนะนำ
    • วัดตราการเต้นหัวใจ
    • วัดระดับความเครียด
    • วัดระดับออกซิเจนในเลือด
    • ติดตามประจำเดือน
    • นับก้าวในแต่ละวัน
  • Fitness
    • โหมดออกกำลังกาย 101 ประเภท
    • ตรวจจับการออกกำลังกายอัตโนมัติ 6 ประเภท

All Day Tracking & Health Monitoring

เริ่มต้นกันที่ฟีเจอร์เด่นของ Samsung Galaxy Fit3 ก่อนเลยครับ คือ การติดตามกิจกรรมและสุขภาพของเราแบบ 24/7 เลยครับ ซึ่งเราค่อนข้างชอบสโลแกนของอุปกรณ์คือ “เริ่มต้นรักตัวเองง่ายๆ แค่ดูที่ข้อมือ” เพราะเจ้าสมาร์ทแบนด์ Galaxy Fit3 รุ่นนี้มาพร้อมการติดตาม Lifestyle ของเราค่อนข้างครบทีเดียวครับ ไม่ว่าจะเป็นการนับก้าว, การวัด Heart Rate , การวัดระดับความเครียด, รวมถึงการวัดระดับออกซิเจนในเลือดอีกด้วย

และสำหรับสาย Active Lifestyle ก็ไม่ต้องห่วงครับ เพราะ Samsung Galaxy Fit3 มีระบบตรวจจับการออกกำลังกายอัตโนมัติถึง 6 ประเภท เพิ่มขึ้นจาก Galaxy Fit2 ที่รองรับการตรวจจับอัตโนมัติที่ 5 ประเภท ซึ่งกิจกรรมทั้ง 6 แบบจะประกอบไปด้วย การเดิน, การวิ่ง, การออกกำลังกายด้วยเครื่อง Eliptical, การออกกำลังกายด้วยเครื่องกรรเชียงบก (Rowing Machine), การว่ายน้ำ และการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ (Dynamic Workout) การทำงานของระบบนี้ก็คือ เมื่อเราทำกิจกรรมดังกล่าวแล้ว ระบบจะเริ่มต้นการติดตามทันทีเมื่อเราทำกิจกรรมนั้นๆ โดยที่ไม่ต้องเปิดเมนูก่อนทำกิจกรรมเลยครับ

และหากต้องการเล่นกีฬาอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ สมาร์ทแบนด์ Galaxy Fit3 ยังรองรับการออกกำลังกายประเภทอื่นได้อีก 101 ประเภทครับ ซึ่งก็มากกว่า Galaxy Fit2 ที่รองรับ 90 ประเภทด้วยเช่นกัน ให้เราได้สนุกกับการออกกำลังกายมากขึ้นด้วยครับ 

โดยเมื่อเรากำลังทำกิจกรรมก็สามารถติดตามความคืบหน้าได้ผ่านทั้งทางหน้าปัดนาฬิกาบนข้อมือ หรือบนสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่ออยู่ได้ และหลังจากการทำกิจกรรม ระบบจะซิงค์ข้อมูลการทำกิจกรรมของเราลงในสมาร์ทโฟนเพื่อเก็บเป็นฐานข้อมูลให้เราใน Samsung Health ได้เลยครับ

นอกจากการทำกิจกรรมแล้ว Samsung Galaxy Fit3 ยังช่วยติดตามข้อมูลสุขภาพผ่านตัวชี้วัดต่างๆ บนนาฬิกาด้วยครับ โดยจะเป็นการติดตามกิจวัตรประจำวันแบบ 24 ชั่วโมงแบบ real-time ซึ่งมีบนนาฬิกาทั้งหมด 11 ฟังก์ชัน โดยจะเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้ใน Samsung Health เช่นกัน 

จุดเด่นอีกอย่างของ Samsung Galaxy Fit3 ในการติดตามสุขภาพคือ Advanced Sleep Monitoring หรือการติดตามการนอนหลับของผู้ใช้ ซึ่งเราค่อนข้างประทับใจในดีไซน์การออกแบบของอุปกรณ์ครับ เพราะสามารถใส่ได้แบบไม่รำคาญขณะนอนหลับเลย เพราะมีน้ำหนักที่เบา มีขนาดที่กะทัดรัด ทำให้สวมใส่สบายขณะนอนหลับ 

อีกทั้งยังสามารถตรวจสอบคุณภาพการนอนหลับพร้อมให้คำแนะนำการนอนง่ายๆ ผ่านทั้งทาง Samsung Galaxy Fit3 เองและบนสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่อครับ และเมื่อเราตื่นขึ้นระบบจะมีการนำข้อมูลการนอนของเรามาวิเคราะห์ข้อมูลการนอนหลับอย่างน่าประทับใจ

ยกตัวอย่างเช่น ระบบจะมีการตรวจจับการนอนกรนด้วยการใช้การอัดเสียงขณะนอนหลับแล้วนำมารายงานให้เราทราบคุณภาพการนอน หรือจะเป็นการติดตามออกซิเจนในเลือดขณะนอนหลับ แล้วประมวลผลการวิเคราะห์ออกมาเป็น Final Report

รวมถึงมีการแบ่งการรายงานการนอนหลับออกเป็นช่วงเวลาต่างๆ ได้อย่างสะดวกง่ายดาย ใครที่รู้สึกว่านอนเยอะแต่ทำไมเหมือนนอนหลับไม่เพียงพอ อาจใช้ฟังก์ชันนี้นำไปวิเคราะห์การพักผ่อนนอนหลับของเราได้ครับ

สำหรับบน Samsung Galaxy Fit3 ยังเพิ่มฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยเอาไว้ด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็นระบบ Fall Detection หรือการตรวจจับการล้ม โดยระบบจะแจ้งเตือนเพื่อสอบถามเราทันทีที่ตรวจจับการล้มอย่างไม่ปกติเกิดขึ้น โดยจะถามว่าเราต้องการบริการฉุกเฉินหรือไม่ 

โดยเมื่อเปิดใช้งานฟังค์ชั่นนี้เราจะสามารถเลือกเงื่อนไขการตรวจจับได้ เช่น Always ซึ่งก็คือตรวจจับตลอดเวลา, During Physical Activity หรือระหว่างการทำกิจกรรม และ Only During Workouts ซึ่งจะตรวจจับขณะที่เรากำลังออกกำลังกายเท่านั้น 

และในยุคนี้ที่อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันกับเราได้ทุกที่ทุกเวลา Samsung Galaxy Fit3 จึงมาพร้อมฟีเจอร์ Emergency SOS เพื่อใช้ขอความช่วยเหลือด่วน โดยเมื่อเกิดเหตุขึ้นให้เรากดปุ่มข้างหน้าจอติดกัน 5 ครั้งเพื่อส่งข้อความขอความช่วยเหลือไปยังหมายเลขที่เราตั้งไว้ฉุกเฉินได้ทันที และสามารถตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์ที่ลงทะเบียนไว้แล้วได้ทันทีด้วยครับ 

โดยรวมด้านสุขภาพและการทำกิจกรรมของ Samsung Galaxy Fit3 ถือว่าให้มาค่อนข้างครบถ้วน เพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตในยุคนี้เลยครับ ที่น่าประทับใจมากก็จะเป็นในเรื่องของการติดต่อ SOS ฉุกเฉิน อย่างเช่นหากเกิดเหตุร้ายขึ้นแล้วการใช้เสียงเพื่อขอความช่วยเหลืออาจทำให้คนร้ายรู้ตัว เราก็เพียงใช้การกดปุ่มบนตัวเครื่อง 5 ครั้งแบบเงียบๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ ก็อาจช่วยเราได้ในสถานการณ์ที่อันตรายก็เป็นได้ครับ หรือจะเป็นการตรวจจับการล้มซึ่งก็ถือว่าเป็นฟีเจอร์ที่เป็นประโยชน์ด้วยเช่นกัน

Smart Features

จัดเต็มกับฟีเจอร์ความปลอดภัยและการติดตามกิจกรรมด้านสุขภาพกันไปแล้ว ต่อไปมาดู Smart Features ของ Samsung Galaxy Fit3 ที่ทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้นกันบ้างครับ ที่เราค่อนข้างชอบเลยจะเป็นการใช้สมาร์ทแบนด์เป็นรีโมทสำหรับการถ่ายภาพได้อย่างง่ายดาย ยกตัวอย่างเช่น หากจะถ่ายภาพหรือคลิปวิดีโอลงโซเชียล ก็เพียงตั้งกล้องมือถือไว้ในจุดที่ต้องการ จากนั้นก็มายืนในตำแหน่งสวยๆ แล้วใช้ Galaxy Fit3 ในการเป็นรีโมทถ่ายภาพได้เลย หรือจะตั้งเวลาถ่าย 3 วินาทีก็ได้เช่นกัน ใครชอบถ่ายคลิป TikTok น่าจะชอบกันล่ะครับ

นอกจากจะควบคุมกล้องถ่ายภาพบนสมาร์ทโฟนได้แล้ว แน่นอนว่าการควบคุมเครื่องเล่น Multimedia ก็ต้องทำได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมเครื่องเล่นเพลง ควบคุมเครื่องเล่นสื่อต่างๆ คลิปวิดีโอ หรืออื่นๆ ก็เชื่อมต่อ Bluetooth เพื่อเชื่อมต่อกับ Samsung Galaxy Fit3 เพื่อควบคุมได้บนข้อมือของเราเลยครับ สะดวกดี

สำหรับฟังก์ชันด้านการติดต่อสื่อสาร เรายังสามารถใช้ Samsung Galaxy Fit3 ในการตรวจสอบสายเรียกเข้าหรือข้อความเข้าจากแอปพลิเคชันต่างๆ ได้ง่ายๆ บนข้อมือด้วยครับ รวมถึงเราสามารถตอบกลับเป็นข้อความสั้นๆ ที่ตั้งค่าไว้ได้ เช่น หากมีการโทรเข้ามาแล้วเราไม่สะดวกรับสาย ก็สามารถปัดขึ้นเพื่อวางสายและตอบกลับด้วยข้อความอัตโนมัติที่ตั้งไว้ เช่น “เดี๋ยวจะติดต่อกลับไป รอสักครู่” เป็นต้น แต่ยังไม่สามารถรับสายแล้วพูดผ่านสมาร์ทแบนด์ตัวนี้ได้ครับ

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจสำหรับคนขี้ลืม ที่ชอบหามือถือตัวเองไม่เจอ เราก็สามารถใช้ Find My Device บน Galaxy Fit3 เพื่อควบคุมให้สมาร์ทโฟนส่งเสียงดังขึ้น ช่วยให้เราหาโทรศัพท์ได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกัน เราก็สามารถใช้สมาร์ทโฟนเพื่อค้นหา Galaxy Fit3 ได้เช่นกัน แต่จะไม่มีเสียงนะครับ เพราะไม่มีลำโพงในตัว โดยสมาร์ทแบนด์จะเปิดหน้าจอและสั่นเพื่อให้เราหาง่ายขึ้นเช่นกัน

Premium Design and Material

ปิดท้ายกันที่ดีไซน์การออกแบบที่โดดเด่นของ Samsung Galaxy Fit3 กันครับ เพราะที่เห็นได้ชัดที่สุดคือการออกแบบของรุ่นนี้ดูดีขึ้นจากเดิมมาก เพราะ Galaxy Fit2 รุ่นที่ผ่านมามีหน้าจอค่อนข้างเล็กเพียง 1.1 นิ้วเท่านั้น และมีดีไซน์ทรงเม็ดยาตามสไตล์สมาร์ทแบนด์ยุคแรก แต่บน Galaxy Fit3 ปรับดีไซน์การออกแบบใหม่ให้เป็นทรงสมาร์ทวอทช์ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ 1.6 นิ้วรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า และใช้กระจกโค้งแบบ 2.5D ที่ดูทันสมัย ทำให้มีขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึงประมาณ 48% แต่มีความบางลง 10% ยิ่งเพิ่มความเซ็กซี่ให้กับสมาร์ทแบนด์รุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น 

นอกจากดีไซน์จะปรับให้สวยหรูขึ้นแล้ว ยังมาพร้อมกับวัสดุใหม่ที่เป็นอะลูมิเนียม เทียบกับ Fit2 ที่ใช้วัสดุเป็นพลาสติก ถือว่าดูพรีเมี่ยมขึ้นมาก วัสดุดูมีความเป็นประกาย แถมยังให้ความทนทาน เบาบาง และสวมใส่สบายเช่นเคย

ในส่วนของงานประกอบยังคงกันน้ำกันฝุ่นได้ดีเช่นเคย ด้วยการกันน้ำระดับ 5 ATM คือสามารถทนความดันน้ำระดับ 50 เมตรในอุณหภูมิปกติได้เป็นเวลา 10 นาที รวมถึงกันฝุ่นละอองหรือสิ่งสกปรกในน้ำลึกได้ 1.5 เมตรเป็นเวลา 30 นาที หรือตามมาตรฐาน IP68 ที่เราคุ้นเคยได้ เรียกง่ายๆ คือสามารถใส่ว่ายน้ำได้ในระดับนึงครับ แต่ถ้าดำน้ำแบบจริงจัง อันนี้บอกว่ายังไม่แนะนำดีกว่า 

และนอกจากจะมีหน้าปัดหรือ Watch Face ให้เลือกมากมายหลายแบบแล้ว เรายังสามารถเลือกสายมาถอดเปลี่ยนได้เองแบบง่ายๆ เพียงกดปุ่มปลดสาย แล้วหาสายนาฬิกาของ Samsung Galaxy Fit3 ในสไตล์ที่เป็นแบบเรามาใส่ได้อีกด้วย

มีหน้าจอ Always-on Display ที่หลากหลายตาม Watch Face ที่เลือกใช้

ปิดท้ายกันที่ด้านแบตเตอรี่ โดย Samsung Galaxy Fit3 จะมีแบตในตัว 208mAh การใช้งานทั่วไปแบบไม่โหดมาก คือไม่เปิด Always-On Display จะอยู่ได้ยาวๆ เกือบสองสัปดาห์เลยครับ แต่ที่เราทดสอบแบบใช้งานดุหน่อย คือเปิด AoD ตลอด จะใช้ได้ราวๆ 4-5 วันครับ อันนี้สะดวกใช้งานแบบไหนก็จัดได้ตามชอบเลยจ้า

บทสรุป

หลังจากที่เราได้ทดสอบ Samsung Galaxy Fit3 มาระยะนึง ก็มีจุดที่น่าสนใจหลายส่วนครับ เช่น ด้านดีไซน์การออกแบบที่ค่อนข้างอัปเกรดค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับ Galaxy Fit2 รุ่นที่แล้ว โดยมีความสวยงามพรีเมี่ยมมากขึ้น มีหน้าจอขนาดใหญ่ขึ้น บางลง ทำให้สามารถสวมใส่ได้นานตลอดวันโดยไม่รู้สึกรำคาญ มีหน้าจอ AMOLED ที่คมชัดสวยงาม น่าใช้ และสามารถถอดเปลี่ยนสายได้ตามสไตล์ของแต่ละคนเลยครับ

ในส่วนของฟีเจอร์ด้านการติดตามกิจกรรมและสุขภาพก็จัดว่าทำได้ค่อนข้างดีครับ โดยให้ฟีเจอร์พื้นฐานอย่างการนับก้าว การวัด HR หรือการวัดออกซิเจนในเส้นเลือดมาครบถ้วน และในส่วนที่เป็นไฮไลท์คือ การตรวจจับการล้ม การส่งข้อความ SOS ขอความช่วยเหลือ และการติดตามการนอนหลับเพื่อนำมาวิเคราะห์ ตรงนี้ถือว่าค่อนข้างเยี่ยมเลยครับ เมื่อเทียบกับราคาค่าตัวของ Galaxy Fit3 ถือว่าให้มาคุ้มมากจริงๆ 

ส่วนข้อสังเกตของ Samsung Galaxy Fit3 คือจะรองรับการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ Android OS เท่านั้นนะครับ จะไม่รองรับอุปกรณ์ iOS และฟังก์ชันการใช้สมาร์ทแบนด์เป็นรีโมทถ่ายภาพ จะรองรับเฉพาะอุปกรณ์ Samsung เท่านั้น หากเชื่อมต่อกับ Android จากแบรนด์อื่นๆ จะยังไม่รองรับครับ (ถ้าอัปเดตให้รองรับในอนาคตจะดีมากเลยครับ)

Samsung Galaxy Fit3 เปิดตัวที่ราคา 1,990 บาทเท่านั้น และมี 3 สีให้เลือก คือสีเทา, สีเงิน (ที่เราได้มารีวิว) และสีชมพู Pink Gold ซึ่งเป็นสีไฮไลท์ที่น่าสนใจเช่นกัน ซึ่ง Galaxy Fit3 วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้วตั้งแต่ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 ผ่านช่องทางออนไลน์บนเว็บไซต์ samsung.com และ Samsung Official Store บน Shopee และ Lazada หรือหน้าร้านที่ Samsung Experience Store และร้านค้าที่ร่วมรายการ