คลังเก็บ

รีวิว realme 9 Pro Series ดีไซน์ Light Shift Design ฝาหลังเปลี่ยนสีได้ พร้อมกล้องเรือธง ProLight Imaging Technology

ไฮไลท์ฟีเจอร์เด่นบน realme 9 Pro Series

ชิปประมวลผลสุดแรง

realme 9 Pro+ ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ท MediaTek Dimensity 920 5G ที่ผลิตบนพื้นฐานสถาปัตยกรรมขนาด 6nm ทำให้ประสิทธิภาพการใช้งานดีขึ้น ความถี่หลักของ CPU เพิ่มขึ้นจาก 2.4 GHz เป็น 2.5 GHz เพิ่มขึ้น 4% ในประสิทธิภาพการทำงานแบบ single-core สำหรับ GPU ยังคงเป็น Mali-G68 MC4 ซึ่งความถี่ของ GPU ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการเล่นเกม 9% ผู้ใช้งานสามารถถ่ายภาพที่มีรายละเอียดได้มากขึ้น 35% เมื่อเทียบกับชิป Dimensity รุ่น ก่อนหน้านี้

ขณะที่ realme 9 Pro ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 695 5G รุ่นแรกในระดับเซกเมนต์เดียวกัน และยังเป็นสมาร์ตโฟนเครื่องแรกที่ทำคะแนนได้มากกว่า 400K ในระดับเซกเมนต์เดียวกันอีกด้วย โดยเป็นชิปเซ็ทภาคต่อของ Snapdragon 690 ที่อัปเกรดมาใช้คอร์ซีพียู Kryo 660 (ตัวเดิม 560) แรงขึ้น 15%, จีพียูเป็น Adreno 619 แรงขึ้น 30%, เปลี่ยนมาใช้กระบวนการผลิตระดับ 6nm (ของเดิม 8nm) และรองรับ 5G ทั้งคลื่น Sub-6 และ mmWave

หน้าจอที่มีอัตรารีเฟรชเรทสูง

realme 9 Pro รองรับอัตราการรีเฟรชหน้าจอ 120Hz และรองรับอัตราการสุ่มตัวอย่างแบบสัมผัส 240Hz โดยอัตรารีเฟรชเรทแบบปรับได้ 6 ระดับประกอบด้วยใช้งานทั่วไป 30Hz, รับชมภาพยนตร์ 48Hz, ถ่ายสำหรับ TV Format เหมาะกับ TV หรือภาพยนตร์ 50Hz, เล่นเกม 60/90Hz และค่า Feeds 120Hz

ส่วน realme 9 Pro+ มาพร้อมหน้าจอแสดงผลแบบ Super AMOLED โดยรองรับอัตรารีเฟรชเรทสูงสุด 90Hz พร้อมอัตราสุ่มตัวอย่างแบบสัมผัส (Touch Sampling Rate) สูงสุด 360Hz ทำให้เล่นเกมหรือดูคอนเทนต์ต่างๆ ได้อย่างลื่นไหล และสามารถตั้งค่าที่รีเฟรชเรท 60Hz เพื่อประหยัดแบตเตอรี่ได้

กล้องถ่ายรูประดับเรือธงในราคา ระดับกลาง (MID-RANGE)

realme 9 Pro+ เป็นสมาร์ตโฟนระดับกลางรุ่นแรกที่ใช้เซ็นเซอร์กล้องรุ่นท็อปอย่าง Sony IMX766 ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์ที่ได้รับความนิยมและโดดเด่นมากในกลุ่มสมาร์ตโฟนเรือธงในปี 2564 เพราะมีเซ็นเซอร์ขนาด 1/1.56″ และพิกเซลที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ 

รวมทั้งยังมีเทคโนโลยีกันสั่นคู่ OIS & EIS Dual Stabilization หนึ่งในองค์ประกอบของ ProLight Imaging Technology ด้วยการติดตั้งระบบกันสั่นไหวแบบ Optical สำหรับการถ่ายภาพนิ่งด้วยเลนส์กล้องหลัก และระบบกันสั่นไหวสำหรับการถ่ายวิดีโอ โดยระบบกันสั่นไหวแบบ Optical จะช่วยลดการสั่นไหว ทำให้กล้องนิ่งขึ้นในขณะเซ็นเซอร์ทำงาน คุณจึงได้ภาพที่สวยคม ชัดใสมากขึ้น แม้ถ่ายภาพในที่แสงน้อย

รองรับ 5G+5G Dual Mode

realme 9 Pro และ realme 9 Pro+ รองรับ 5G +5G Dual Mode ที่เร็วแรงและลื่นไหล พร้อมใช้งาน 5G ในประเทศไทยได้ทันทีตั้งแต่แกะกล่อง โดยรองรับคลื่นความถี่ n1/n3/n5/n7/n8/n20/n28/n66/n38/n40/n41/n77/n78

แบตใหญ่ ชาร์จไว

realme 9 Pro มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 5,000mAh รองรับระบบชาร์จเร็ว 33W Dart Charge

ส่วน realme 9 Pro+ มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 4,500mAh รองรับระบบชาร์จเร็ว 60W SuperDart Charge สามารถชาร์จแบตเตอรี่ 0-50% ในเวลาประมาณ 15 นาที

คุณสมบัติการใช้งาน

realme 9 Pro+ และ realme 9 Pro รันบนระบบปฎิบัติการ realme UI 3.0 บนพื้นฐาน Android 12 เวอร์ชั่นล่าสุด ที่มาพร้อมกับ Fluid Space Design ยกเครื่องดีไซน์ใหม่ ระบบทำงานได้อย่างราบรื่นและบริโภคพลังงานน้อยลงด้วย AI Smooth Engine รวมทั้งปรับปรุงฟีเจอร์ต่าง ๆ ให้ใช้งานได้ดียิ่งกว่าเดิม และยกระดับด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว

ใน realme UI 3.0 รองรับการปรับแต่งธีมสีแบบสากล เพื่อให้ผู้ใช้เลือกโทนสีที่โดนใจได้ตามใจ รวมถึงการอัปเกรด AOD ( Always-On Display) เพื่อให้ผู้ใช้นำภาพโปรดมาทำเป็นภาพหน้าจอได้อย่างง่ายดาย หรือเลือก AOD ดีไซน์ realmeow (เรียวเหมียว) มัสคอตสุดน่ารักของแบรนด์ ให้คุณแสดงตัวตนที่โดดเด่นได้ไม่เหมือนใครอีกด้วย

realme 9 Pro Series

มาพร้อม Dark Mode หรือโหมดกลางคืน สำหรับปรับสีของหน้า UI ให้อยู่ในโทนสีดำ เพื่อช่วยให้ใช้งานได้อย่างสบายตามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการอ่านหนังสือ และยังทำให้เครื่องใช้พลังงานน้อยลงช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ด้วย โดยเปิดอัตโนมัติในเวลากลางคืน

สามารถเลือกปรับได้ 3 สไตล์ คือ Enhanced (ดำสนิท), Medium (เทาเข้ม) และ Gentle (เทา) ซึ่งแต่ละรูปแบบก็จะมีคอนทราสต์ที่แตกต่างกันไป สามารถตั้งค่าเป็น Auto ให้ตัวเครื่องทำการวัดแสงโดยรอบจากเซ็นเซอร์ ambient แล้วประมวลผลเลือกรูปแบบที่เหมาะสมที่สุดตามช่วงเวลานั้น ๆ ให้เอง

พร้อมโหมดสีหน้าจอที่เลือกปรับได้ทั้งเจิดจ้า เป็นธรรมชาติ และโหมดโปรที่เลือกได้ทั้งภาพยนตร์ และสดใส รวมถึงมีโหมดถนอมสายตา และปรับอุณหภูมิสีหน้าจอได้ โดยการเพิ่มอุณหภูมิสีเพื่อลดรังสีแสงสีฟ้า เพื่อป้องกันอาการปวดตา และสามารถตั้งเวลา เปิด-ปิด อัตโนมัติ และมีฟีเจอร์ O1 Ultra Vision Engine ซึ่งเป็นเทคโนโลยี SDR-to-HDR ช่วยเพิ่มขอบเขคสีเพื่อประสบการณ์การรับชมที่ยอดเยี่ยม และประหยัดแบตเตอรี่

รองรับการปลดล็อคหน้าจอด้วยใบหน้า Face Unlock เพียงลงทะเบียนด้วยใบหน้า ซึ่งจะใช้ได้เพียงหน้าเดียวเท่านั้น จากนั้นเมื่อหน้าจอติดมองไปยังบนหน้าจอก็สามารถปลดล็อคได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ใบหน้าเพื่อเข้าสู่แอปที่ป้องกันไว้ หรือในพื้นที่ที่ต้องการความปลอดภัยได้

realme 9 Pro+
realme 9 Pro

รองรับการปลดล็อคหน้าจอ ล็อคแอป และเก็บข้อมูลส่วนตัวด้วยการสแกนลายนิ้วมือ โดย realme 9 Pro+ ติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังใต้หน้าจอ In-display Fingerprint ส่วน realme 9 Pro ติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนปุ่มเปิดปิดด้านขวาข้างเครื่อง Ultra-fast Side Fingerprint

realme 9 Pro+ ยังมาพร้อมฟีเจอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ โดยเซ็นเซอร์ที่ว่านี้จะมาพร้อมกับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบฝังบนหน้าจอ ซึ่งผู้ใช้จะต้องเปิดฟีเจอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจบนอุปกรณ์ก่อนแล้วใช้นิ้วแตะบนส่วนของเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ จนกว่าจะแสดงการอ่านบนหน้าจอ

realme 9 Pro+ ติดตั้งลำโพงคู่สเตอริโอ Dual Stereo Speakers พร้อมรองรับระบบเสียง Dolby Atmos ที่สามารถเลือกโปรไฟล์เสียงสำหรับสภาพแวดล้อมได้ 4 แบบคือ ในอาคาร, ระหว่างเดินทาง, จราจร และการเดินทางด้วยเครื่องบิน และโปรไฟล์เสียงที่เฉพาะเจาะจงตามสถานการณ์ได้ 4 แบบคือ สมาร์ท, โรงละคร, เกม และเพลง

ส่วน realme 9 Pro รองรับระบบเสียง Real Sound ที่พัฒนาร่วมกันระหว่าง realme และ Dirac Research AB  เพื่อประสบการณ์การฟังที่เหนือชั้น โดยเฉพาะการฟังเพลง หรือชมภาพยนตร์ที่จะได้อรรถรสเพิ่มขึ้น

ประสิทธิภาพ

ทดสอบการเล่นเกม

realme 9 Pro+ ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ท MediaTek Dimensity 920 5G (6 nm) โดยใช้หน่วยประมวลผลซีพียูแบบ Octa Core ความเร็ว 2.5GHz และหน่วยประมวลผลกราฟิก Mali-G68 MC4 จับคู่กับ RAM 8GB แบบ LPDDR4x, หน่วยความจำภายใน 256GB และระบบระบายความร้อน Vapor Chamber Cooling System ช่วยป้องกันไม่ให้ตัวเครื่องเกิดความร้อนในระดับที่สูงจนเกินไป มอบประสบการณ์การเล่นเกมให้ไหลลื่นยิ่งขึ้น และเต็มประสิทธิภาพ

ขณะที่ realme 9 Pro ใช้ชิปเซ็ท Qualcomm SM6375 Snapdragon 695 โดยใช้หน่วยประมวลผลซีพียูแบบ Octa Core ความเร็ว 2.2GHz และหน่วยประมวลผลกราฟิก Adreno 619 จับคู่กับ RAM 6GB/8GB แบบ LPDDR4x และหน่วยความจำภายใน 128GB บวกกับหน้าจอแสดงผลที่มีอัตรารีเฟรชสูงถึง 120Hz และระบบระบายความร้อน Liquid Cooling System ที่จะช่วยคุมอุณหภูมิตัวเครื่องไม่ให้ร้อนจนเกินไป เวลาใช้งานหรือเล่นเกมติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ

เท่าที่ได้ลองทดสอบโดยใช้งานปกติทั่วไปปรากฏว่า ใช้งานได้อย่างไหลลื่นไม่มีสะดุด และตอบสนองการใช้งานได้เป็นอย่างดี

ส่วนการเล่นเกมได้ลองกับเกม ROV  เกมแนว MOBA สุดฮิตของบ้านเรา

โดย realme 9 Pro+ ตั้งค่าภาพ HD ระดับสูงมาก, การแสดงผลระดับสูง และพาร์ติเคิลระดับสูงมาก ด้วยชิปเซ็ท MediaTek Dimensity 920 สามารถเล่นบนเฟรมเรทสูงได้สบายๆ และถ้าเลือกตั้งค่าเกมให้เป็นค่าเริ่มต้น ก็จะสามารถตีป้อมได้ค่อนข้างลื่นเลยทีเดียว

ส่วน realme 9 Pro ตั้งค่าภาพ HD ระดับสูงมาก, การแสดงผลระดับสูง และพาร์ติเคิลระดับสูงมาก ด้วยขุมพลังชิปเซ็ท Snapdragon 695 ทำให้เล่นเกมได้อย่างลื่นไหล ไม่มีอาการหน่วง หรือกระตุก

ต่อด้วยเกม PUBG Mobile เกมแบทเทิลรอยัล

โดย realme 9 Pro+ สามารถปรับตั้งค่ากราฟิกที่ “HDR HD” ส่วนเฟรมเรทตั้งไว้ที่ระดับ Ultra ซึ่งในภาพรวมถือว่าทำผลงานได้น่าประทับใจ เพราะแทบไม่พบอาการแลคให้หงุดหงิดใจ

ส่วน realme 9 Pro สามารถปรับตั้งค่ากราฟิกที่ “HD” ส่วนเฟรมเรทตั้งไว้ที่ระดับสูง ต่หากปรับกราฟิกเป็น “Smooth” ก็จะสามารถปรับเฟรมเรทได้ถึง Ultra เลยทีเดียว ด้วยชิปเซ็ท Sanpdragon 695 บวกกับ RAM สูงสุด 8GB และจอ 120Hz Ultra Smooth Display ทำให้สามารถเล่นได้ไม่หน่วง และไหลลื่น

อ่านต่อหน้า 3