เปิดตัวในบ้านเราไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาสำหรับ Infinix NOTE 40 Pro+ 5G สมาร์ตโฟนรุ่นท็อปตระกูล Note 40 Series ที่มาพร้อมจุดเด่นพลิกโฉมวงการชาร์จเร็วด้วยเทคโนโลยี AllRound FastCharge 2.0 ซูเปอร์ชาร์จเพื่อชีวิตอิสระ
ขับเคลื่อนพลังงานด้วย Cheetah X1 ชิปเซ็ตที่ Infinix ได้พัฒนาขึ้นเป็นตัวแรก เพื่อให้พร้อมรองรับทุกสถานการณ์ ตอบโจทย์สายไลฟ์สไตล์และผู้ใช้งานที่มองหาสมาร์ตโฟนที่มีประสิทธิภาพในราคาคุ้มค่า อีกทั้งยังรองรับการชาร์จแบบไร้สายอีกด้วย
รวมทั้งมอบขุมพลังการใช้งานเต็มประสิทธิภาพด้วยชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Dimensity 7020 5G และโปรเซสเซอร์ 6nm พร้อมกับ ROM 256 GB และ RAM12 GB ผสานได้สูงสุด 24GB สนับสนุนการใช้งานได้พร้อมกันสูงสุดถึง 25 แอปพลิเคชัน
เชื่อว่าหลายคนที่กำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะจัดรุ่นนี้ดีไหม มาดูกันว่าInfinix NOTE 40 Pro+ 5G จะน่าสนใจมากน้อยแค่ไหนในรีวิวกันเลย
สเปคเบื้องต้น Infinix NOTE 40 Pro+ 5G
ขนาด | 164.3 x 74.5 x 8.1 มม. |
น้ำหนัก | 190 กรัม |
หน้าจอ | Punch Hole Display ขอบโค้ง 3D แบบ AMOLED ความละเอียด FHD+ 1080 x 2436 พิกเซล (393 ppi) ขนาด 6.78 นิ้ว ในอัตราส่วน 20:9, อัตราส่วนจอต่อเครื่อง 93.60%, อัตรารีเฟรชเรท 120Hz, อัตราสุ่มตัวอย่างแบบสัมผัส 1500Hz, ความสว่างสูงสุด 1300nits และครอบทับด้วยกระจกกันรอย Corning Gorilla Glass |
หน่วยประมวลผล | Octa Core ความเร็ว 2.2GHz โดยใช้ชิปเซ็ท Mediatek Dimensity 7020 (6 nm), หน่วยประมวลผลกราฟิก IMG BXM-8-256 |
RAM | 12GB (UP TO 12GB EXTENDED RAM) |
หน่วยความจำภายในเครื่อง | 256GB |
microSD Card | – |
กล้องถ่ายภาพ | กล้องหลัง 3 ตัว AI Triple Camera พร้อมไฟแฟลช Quad LED ประกอบด้วย – กล้องหลักความละเอียด 108 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8, 24mm (wide), 1/1.67″, 0.64µm, ระบบ PDAF และระบบกันสั่น OIS – กล้องตัวที่สองเลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 – กล้องตัวที่สามเลนส์ Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 กล้องหน้าเซลฟี่ ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2, (wide), 1/3.1″, 0.7µm พร้อมไฟแฟลช Dual LED โหมดถ่ายภาพ: ภาพยนตร์ วิดีโอ เทคโนโลยีถ่ายภาพอัจฉริยะ (AI Camera) โหมดถ่ายภาพบุคคล โหมดSUPER NIGHT โหมด AR โหมดSHORT VIDEO โหมดโปร โหมดสโลว์โมชั่น โหมดวิดีโอกล้องคู่ โหมดถ่ายภาพาโนรามา โหมดซูเปอร์มาโคร โหมดถ่ายภาพเอกสาร โหมดไทม์แลปส์โหมดSKY SHOP บันทึกวิดีโอ: ความละเอียด 2K บันทึกวีดีโอสูงสุดระดับ 1080P30 เฟรมเรตต่อวินาที |
ระบบปฏิบัติการ | Android 14 ครอบทับด้วย XOS 14 |
เชื่อมต่อ | Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band, Bluetooth 5.0, GPS with A-GPS, FM Radio, USB Type-C 2.0, USB On-The-Go |
รองรับระบบ | NETWORK 5G/4G/3G/2G 2G: B2|3|5|8 3G: B1|2|4|5|8 4G: B1|2|3|4|5|7|8|12|17|20|28|66|38|40|41|42 5G: n1/n3/n5/n7/n8/n12/n20/n28/n66/n38/n40/ n41/n77/n78 |
แบตเตอรี่ | 4,600 mAh รองรับระบบชาร์จไว 100W ชาร์จ 50% ภายใน 12 นาที พร้อมเทคโนโลยี Power Marathon ที่ประหยัดพลังงาน, ชาร์จเร็วแบบไร้สาย 20W wireless MagCharge, ชาร์จย้อนกลับ และชาร์จย้อนกลับแบบไร้สาย |
สี | Obsidian Black (ดำ), Vintage Green (เขียว) |
ราคา | ราคา 11,999 บาท |
อุปกรณ์ภายในกล่อง
กล่องแพ็คเกจจิ้งของ Infinix NOTE 40 Pro+ 5G เป็นกล่องกระดาษสีเขียวตัดสีดำ ด้านหน้ากล่องสลักชื่อรุ่นขนาดใหญ่ พร้อมระบุรองรับ NFC, ได้รับการปรับจูนเสียงโดย JBL, หน่วยความจำภายใน 256GB, RAM 24GB (RAM 12GB+12GB Virtual RAM) และรองรับชาร์จเร็ว 100W Fast Charge 2.0
ส่วนด้านหลังกล่องจะระบุสเปกเบื้องต้นเช่น รองรับชาร์จเร็ว 100W All-Round Fast Charge 2.0, จอขอบโค้ง 3D 120Hz, กล้อง 108MP OIS, ไฟแจ้งเตือน Active Halo, ระบบเสียงที่ปรับจูนโดย JBL และชิปเซ็ท Dimensity 7020 5G พร้อมข้อมูลผู้ผลิต และผู้นำเข้า
อุปกรณ์ภายในกล่องประกอบไปด้วย
1.ตัวเครื่อง Infinix NOTE 40 Pro+ 5G
2.สาย USB Type-C + อะแดปเตอร์ชาร์จเร็ว 100W
3.อุปกรณ์เปิดถาดซิมการ์ด
4.เคสแม่เหล็ก MagCase
5.กระจกกันรอยหน้าจอ (ต้องติดตั้งเอง ไม่ได้ติดตั้งมาให้จากโรงงาน)
6.คู่มือการใช้งานฉบับย่อ + ใบรับประกันสินค้า
7.สติ๊กเกอร์
8.แท่นชาร์จไร้สาย MagPad
เมื่อใส่ MagCase แล้วจะมีหน้าตาดังรูป
อะแดปเตอร์ชาร์จเร็ว 100W
นอกจากนี้ในกล่องแพ็กเกจจิ้งของ Infinix Note 40 Pro+ 5G ยังแถมแท่นชาร์จไร้สาย MagPad ชาร์จเร็ว 15W มาให้ด้วย
รูปลักษณ์ดีไซน์
ตัวเครื่อง Infinix NOTE 40 Pro+ 5G มีดีไซน์พรีเมียมโค้งมน เพรียวบาง ด้านหน้าครอบทับด้วยกระจกกันรอย Corning Gorilla Galss โดยมีให้เลือก 2 เฉดสีคือ สีเขียว Vintage Green ที่มาพร้อมฝาหลังแบบหนังวีแก้น และสีดำ Obsidian Black ที่ฝาหลังเป็นพื้นผิวด้าน ซึ่งเครื่องที่ทาง MobileOcta ได้มารีวิวคือ สีเขียว Vintage Green ซึ่งตัดกับโมดูลกล้อง และเฟรมเครื่องสีทองเมทัลลิก ให้กลิ่นอายความเป็นเรโทร
หน้าจอแสดงผล Punch Hole Display ขอบโค้ง 3D แบบ AMOLED ความละเอียด FHD+ 1080 x 2436 พิกเซล (393 ppi) ขนาด 6.78 นิ้ว ในอัตราส่วน 20:9, อัตราส่วนจอต่อเครื่อง 93.60%, อัตรารีเฟรชเรท 120Hz, อัตราสุ่มตัวอย่างแบบสัมผัส 1500Hz, รองรับการแสดงผลสี 10-bit (1.07 พันล้านสี), ผ่านการรับรองแสงสีฟ้าต่ำจาก TUV Rheinland, ความสว่างสูงสุด 1300nits สู้แสงแดดกลางแจ้งได้ค่อนข้างดี และครอบทับด้วยกระจกกันรอย Corning Gorilla Glass 5
ดีไซน์ขอบโค้ง 3D
ตรงกลางด้านบนติดตั้งกล้องเซลฟี่ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 ส่วนขอบจอทั้ง 2 ด้านจะโค้งรับกับเฟรมด้านข้างพอดี โดยขอบเครื่องมีความโค้ง 55 องศา ซึ่ง Infinix วิจัยมาแล้วว่าเป็นความโค้งที่กำลังถือสบายมือที่สุด ไม่คมจนเกินไป
พลิกมาด้านหลังเครื่องมุมซ้ายด้านบนติดตั้งกล้อง 3 ตัว พร้อมไฟแฟลชแบบวงแหวน ซึ่งเรียกว่าดีไซน์แบบ Active Halo AI lighting ที่ผสานเทคโนโลยี AI เข้ากับดีไซน์อย่างลงตัว
ด้วยแสงไฟบริเวณโมดูลของกล้อง โดยแสงไฟนี้จะเปลี่ยนไปตามกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การรับสาย การแจ้งเตือน การเล่นเกมหรือฟังเพลง การชาร์จแบตเตอรี่ หรือการใช้ผู้ช่วยเสียงอย่าง Folax สามารถเข้าไปตั้งค่าเอฟเฟกต์แสงได้ที่เมนูตั้งค่า > เปิตไฟฮาโล
โดยกล้องหลัง 3 ตัว ประกอบด้วย
- กล้องหลักความละเอียด 108 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8, 24mm (wide), 1/1.67″, 0.64µm, ระบบ PDAF และระบบกันสั่น OIS
- กล้องตัวที่สองเลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- กล้องตัวที่สามเลนส์ Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
ด้านซ้ายข้างเครื่องออกแบบเรียบ ๆ ไม่มีปุ่มกดหรือช่องใด ๆ
ด้านขวาข้างเครื่องมีปุ่มปรับเพิ่มลดระดับเสียง กับปุ่ม Power สำหรับเปิดปิดเครื่อง
ด้านบนเครื่องมีข่องลำโพงเสียง ซึ่งระบบเสียงของ Infinix Note 40 Pro+ 5G เป็นแบบสเตอริโอ จึงมีช่องลำโพงอยู่ที่ขอบด้านบน และด้านล่าง และได้รับการปรับแต่งจูนเสียงโดยแบรนด์เครื่องเสียง JBL รวมทั้งมีเซนเซอร์อินฟราเรด (IR) สำหรับใช้ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าแทนรีโมตอีกด้วย โดยสามารถใช้ได้ผ่านแอปพลิเคชัน Welife ซึ่งติดตั้งมาให้ตั้งแต่แกะกล่อง
ด้านท้ายเครื่องมีช่องใส่ซิมการ์ด, ช่องไมโครโฟน, พอร์ต USB Type-C สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ หรือถ่ายโอนข้อมูล และช่องลำโพงเสียง
ช่องสำหรับใส่ SIM Card แบบ Dual Slot แบ่งเป็นช่องใส่ SIM Card แบบ nanoSIM Card 2 ช่อง แต่ไม่รองรับการ์ดหน่วยความจำเสริม นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังมีคุณสมบัติของการทนน้ำ-ทนฝุ่นในระดับ IP53 ซึ่งสามารถป้องกันละอองน้ำได้ แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะนำไปแช่น้ำ หรือตากฝนได้
คุณสมบัติการใช้งาน
Infinix NOTE 40 Pro+ 5G รันบนระบบปฏิบัติการ Android 14 ครอบทับด้วย XOS 14 ที่ทาง Infinix เป็นผู้พัฒนาขึ้นมาเอง โดยมีหน้าตาเมนูที่ดูสวยงาม มี Theme ให้เลือกดาวน์โหลดมากมาย อีกทั้งมีฟีเจอร์ต่างๆ ที่น่าสนใจคือการล็อกแอป, ซ่อนแอป และตู้แช่แข็งที่จะหยุดการทำงานของแอปพลิเคชันในเบื้องหลัง รวมไปถึงการอัปเดตต่าง ๆ
ส่วนหน้าจอหลักนั้น มีหน้าจอเริ่มต้นให้ใช้ทั้งหมด 2 หน้าด้วยกัน โดยด้านซ้ายเป็นหน้าจอหลัก ส่วนด้านขวาเป็นหน้ารวมแอปพลิเคชั่น และสามารถเพิ่มได้ตามจำนวนแอปที่ดาวน์โหลดมา ด้านบนเมื่อใช้นิ้วแตะลากลงมาจะเป็นส่วนแสดงรายละเอียดเครือข่ายที่ใช้งาน กิจกรรมล่าสุด และการแจ้งเตือนต่างๆ
รองรับ 2 SIM แบบ 5G Dual-SIM Dual-Standby สามารถใช้งาน 5G ได้พร้อมกันทั้งซิมหนึ่ง และซิมสอง
รวมทั้งมีฟังก์ชันอัจฉริยะที่สามารถสลับระหว่างเครือข่าย 5G/4G ได้อย่างราบรื่นและอัตโนมัติ ลดการใช้พลังงาน และปรับปรุงอายุการใช้งานแบตเตอรี่ของโทรศัพท์
รองรับการปลดล็อคหน้าจอด้วยการสแกนใบหน้า
ติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือฝังใต้หน้าจอ
รองรับอัตรารีเฟรชเรท 120Hz
ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่มากถึง 6.78 นิ้ว ความละเอียดระดับ FullHD+ โดยมีอัตรารีเฟรชเรท 120Hz และความสว่างสูงสุด 1300nits พร้อมมาตรฐานหน้าจอ DCI-P3 ทำให้รับชมคอนเทนต์คมชัดระดับ HD ที่สวยเป็นธรรมชาติ
และมีลำโพงสเตอริโอที่ปรับแต่งโดยแบรนด์เครื่องเสียงชั้นนำอย่าง JBL ให้คุณภาพด้านเสียงที่ล้ำลึกสมจริงทุกย่าน โดยเฉพาะย่านเสียงกลาง และเสียงร้อง ส่วนเสียงเบสมีแรงกระแทกพอสมควรแต่ไม่มาก แต่ก็ถือว่าทำได้ดีแล้วหากเทียบกับลำโพงสมาร์ตโฟนรุ่นอื่น ๆ ขณะเดียวกันยังมีเวทีเสียงกว้าง และแยกทิศทางของเสียงได้แม่นยำ เหมาะมากกับการดูหนัง ฟังเพลง และเล่นเกม
Infinix NOTE 40 PRO+ 5G ยังมีคุณสมบัติป้องกันน้ำป้องกันฝุ่น IP53 เพื่อให้คุณสามารถใช้งานได้ทุกสถานการณ์ แม้เปียกชื้น นอกจากนี้ยังเป็นเหมือนรีโมทคอนโทรล โดยมีฟีเจอร์ IR Remote สามารถเชื่อมต่อกับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่รองรับได้ ในการควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้า
ด้านการถ่ายภาพ
กล้องหลังสามตัว 108MP OIS
Infinix NOTE 40 Pro+ 5G ติดตั้งกล้องหลัง 3 ตัว 108 MP OIS Triple Camera พร้อมไฟแฟลช Dual LED ประกอบด้วย
- กล้องหลักความละเอียด 108 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8, 24mm (wide), 1/1.67″, 0.64µm, ระบบ PDAF และระบบกันสั่น OIS
- กล้องตัวที่สองเลนส์ Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
- กล้องตัวที่สามเลนส์ Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
สามารถเลือกโหมดการถ่ายทั้งแบบปกติ AI CAM, รูปบุคคล, โหมดประสิทธิภาพในที่มืด, ภาพยนตร์, วิดีโอ, สโลโมชั่น, ไทม์แลปส์, วิดีโอคู่, วิดีโอสั้น, Sky Shop, มืออาชีพ, พาโนรามา, มาโครชั้นสูง, เอกสาร และถ่ายภาพ AR
รวมทั้งตั้งค่าต่าง ๆ , เปิดปิดไฟแฟลชอัตโนมัติ, เปิดปิดโหมดถ่าย 108MP, เปิดปิดโหมด AI, เลือกโหมดถ่ายภาพแบบเต็มจอ, 4:3 และ 1:1 และเลือกฟิลเตอร์ต่าง ๆ โดยภาพนิ่งสามารถถ่ายที่ได้ความละเอียดสูงสุด 12000×10056 พิกเซล (108MP) ส่วนวิดีโอสามารถบันทึกได้ที่ความละเอียดสูงสุด 2K 30FPS
การถ่ายภาพเต็มความละเอียด 108MP เรียกว่ามีความละเอียดมากๆ เพราะสามารถ Crop ภาพได้เยอะมากจนยังมองเห็นรายละเอียดของป้ายที่อยู่ไกล ๆ ได้ชัดเจน
Crop ภาพบริเวณป้ายโฆษณาสามารถเห็นตัวอักษรได้อย่างชัดแจ๋ว
ตัวอย่างภาพจากกล้องหลัง
กล้องหน้าความละเอียด 32MP
ส่วนกล้องหน้าเซลฟี่ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2, (wide), 1/3.1″, 0.7µm พร้อมไฟแฟลช Dual LED มาพร้อมโหมด AI CAM, โหมด Portrait ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอ, โหมดประสิทธิภาพในที่มืด, โหมดวิดีโอ และโหมดภาพยนตร์
ตัวอย่างภาพจากกล้องหน้า
ประสิทธิภาพ
Infinix NOTE 40 Pro+ 5G ใช้หน่วยประมวลผลซีพียูแบบ Octa Core ความเร็ว 2.2GHz โดยใช้ชิปเซ็ท Mediatek Dimensity 7020 (6nm) ซึ่งเป็นชิปเซ็ตระดับกลางที่มีประสิทธิภาพสูงพอสมควร จับคู่กับหน่วยประมวลผลกราฟิก IMG BXM-8-256, RAM แบบ LPDDR4x ขนาด 8GB (UP TO 12GB EXTENDED RAM รวมเป็น 24GB) และหน่วยความจำภายในเครื่องแบบ UFS 2.2 ขนาด 256GB
เท่าที่ได้ลองทดสอบโดยใช้งานปกติทั่วไปปรากฏว่า สามารถใช้งานได้ไหลลื่นไม่มีสะดุด และตอบสนองการใช้งานได้เป็นอย่างดี
ส่วนการเล่นเกมได้ลองกับเกม ROV โดยเลือกโหมดเฟรมเรทสูง ปรากฎว่าสามารถเล่นได้ลื่น ไม่มีอาการหน่วง หรือกระตุกให้เห็น และเล่นนานๆ เครื่องก็ไม่มีอาการร้อนอีกด้วย
และเกม PUBG Mobile เลือกกราฟิกระดับ HD และตั้งค่าเฟรมเรทสูง ปรากฎว่าสามารถเล่นได้ลื่น ไม่มีอาการหน่วง หรือกระตุกให้เห็น และเล่นนานๆ เครื่องก็ไม่มีอาการร้อนอีกด้วย โดยรวมแล้วถือว่าสอบผ่าน
อย่างไรก็ตาม ชิปเซ็ต Dimensity 7020 เป็นชิปเซ็ตระดับกลาง จึงไม่สามารถเปิดการตั้งค่ากราฟิกสูง ๆ ในบางเกมได้ โดยรวมนับว่าเป็นสมาร์ตโฟนอีกรุ่นหนึ่งที่เหมาะกับการเล่นเกมทั่ว ๆ ไป
นอกจากนี้ Infinix Note 40 Pro+ 5G จะมีฟีเจอร์สนับสนุนการเล่นเกมที่เรียกว่า X-Arena และ XBOOST ซึ่งจะช่วยปรับการทำงานของตัวเครื่องขณะเล่นเกมให้มีความเสถียรยิ่งขึ้น พร้อมทั้งฟีเจอร์พื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นการบล็อกการแจ้งเตือน, ล็อกความสว่างจอ, โหมดประสิทธิภาพ-โหมดประหยัดพลังงาน ไปจนถึงการเปิดแอปอื่นขึ้นมาเป็นหน้าต่างลอย
และสามารถตั้งค่าป้องกันการกดพลาดบริเวณขอบจอ, ปรับแต่งสีสันในเกม ไปจนถึงการตั้งค่าปุ่มปรับระดับเสียงเป็นปุ่มลัดได้ นับว่าตอบโจทย์ความต้องการของเกมเมอร์แบบครบถ้วน
ผลการทดสอบประสิทธิภาพของ Infinix NOTE 40 Pro+ 5G ผ่านแอป Antutu
ผลการทดสอบประสิทธิภาพของ Infinix NOTE 40 Pro+ 5G ผ่านแอป GeekBench 5
แบตเตอรี่
Infinix NOTE 40 Pro+ 5G ใช้แบตเตอรี่ขนาดความจุ 4,600mAh โดยใช้ชิปเซ็ต Cheetah X1 ทำหน้าที่ควบคุมกับมอนิเตอร์การชาร์จแบตเตอรี่โดยเฉพาะ สามารถเลือกโหมดการชาร์จและฟังก์ชันที่ช่วยตอบโจทย์ได้ตามสถานการณ์เช่น การชาร์จอัจฉริยะ การชาร์จไฮเปอร์ และการชาร์จในอุณหภูมิต่ำที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถชาร์จได้แม้ที่อุณหภูมิต่ำถึง -20 องศาเซลเซียส
นอกจากนี้ยังมี Bypass Charging 2.0 ที่ช่วยกรองกระแสไฟและจ่ายไฟโดยตรงไปยังเมนบอร์ดระหว่างการเล่นเกมหรือดูวิดีโอ เพื่อช่วยป้องกันความร้อนไม่ให้สูงเกินไป การป้องกันการชาร์จด้วย AI ที่ชาร์จรักษาระดับแบตเตอรี่ขณะนอนหลับไปจนถึงฟังก์ชัน Reverse Charging ที่ช่วยให้สามารถแชร์พลังงานกับอุปกรณ์อื่น ๆ แบบมีสายหรือไร้สายด้วยความเร็วสูงสุด 10W
รวมถึงยังรองรับระบบชาร์จ All-Round Fast Charge 2.0 ที่มีกำลังไฟสูงสุดถึง 100W เรียกได้ว่าเป็นสมาร์ตโฟนอีกรุ่นหนึ่งที่ชาร์จเร็วมาก ๆ ในตอนนี้เลย ไม่ต้องรอนาน แปปเดียวแบตเตอรี่ก็เต็มแล้ว เอาเวลาไปทำอย่างอื่นได้สบาย ๆ เพราะมีความเร็วในการชาร์จมากถึง 100W ส่วนในกล่องแถมอะแดปเตอร์มาให้ด้วย โดยทาง Infinix เคลมว่าสามารถชาร์จ 0%-50% ภายในระยะเวลา 12 นาที หรือชาร์จเพียง 5 นาที สามารถเล่นเกมต่อได้อีกประมาณ 3 ชั่วโมง หรือดูคอนเทนต์วิดีโอเพิ่มขึ้นประมาณ 6 ชั่วโมง
บทสรุป
Infinix NOTE 40 Pro+ 5G ถือเป็นสมาร์ตโฟนรุ่นท็อปตระกูล Note 40 Series ที่ยกระดับทั้งดีไซน์ และสเปกครั้งใหญ่ของซีรีส์ราคาประหยัด โดดเด่นด้วยดีไซน์สวยหรู และงานประกอบที่มีคุณภาพ รวมถึงหน้าจอ AMOLED 120Hz ดีไซน์โค้ง 55 องศากับวัสดุกระจกจาก Corning Gorilla Glass มอบสัมผัสหรูหราแต่ทนทานและแข็งแรง
นอกจากนี้ยังพลิกโฉมวงการชาร์จเร็วด้วยเทคโนโลยี AllRound FastCharge 2.0 ซูเปอร์ชาร์จเพื่อชีวิตอิสระ โดยขับเคลื่อนพลังงานด้วย Cheetah X1 ชิปเซ็ตที่ Infinix ได้พัฒนาขึ้นเป็นตัวแรก รองรับการชาร์จเร็วได้ถึง 100W หรือชาร์จได้ 50% ภายใน 8 นาที ซึ่งถือเป็นไฮไลต์เด่นของสมาร์ตโฟนรุ่นนี้เลยก็ว่าได้ รวมทั้งรองรับระบบชาร์จเร็วแบบไร้สาย 20W และยังแถมแท่นชาร์จ กับเคสแม่เหล็กมาให้ด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นยังเอาใจสายไลฟ์สไตล์ที่ชอบถ่ายภาพและวิดีโอ จัดเต็มด้วยกล้องหลัก 108MP กับระบบกันสั่น OIS กล้อง Super – Zoom ให้ภาพคมชัด ซูมได้แบบไม่สูญเสียการโฟกัส พร้อมเลนส์กล้องมาโครความละเอียด 2MP และ Depth Sensor 2MP กับกล้องหน้าความละเอียด 32MP และโหมดการถ่ายภาพที่มีมาให้เลือกถึง 15 โหมด
รวมถึงคุณภาพด้านเสียงที่ล้ำลึกสมจริงด้วยลำโพงคุณภาพการันตีด้วยการร่วมมือกับแบรนด์ดังอย่าง JBL นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่โดดเด่นคือ Active Halo ที่ผสานเทคโนโลยี AI เข้ากับดีไซน์อย่างลงตัว ด้วยแสงไฟบริเวณโมดูลของกล้องที่เปลี่ยนไปตามกิจกรรมต่าง ๆ โดยรวมแล้วเป็นสมาร์ตโฟนที่รองรับทุกสถานการณ์ ตอบโจทย์สายไลฟ์สไตล์และผู้ใช้งานที่มองหาสมาร์ตโฟนที่มีประสิทธิภาพในราคาคุ้มค่า
ทั้งนี้ Infinix NOTE 40 Pro+ 5G วางจำหน่ายในไทยแล้ววันนี้ โดยมีให้เลือก 2 สี คือ สีเขียว Vintage Green และสีดำ Obsidian Black ในราคา 11,999 บาท สามารถสั่งซื้อได้ที่ร้านค้าทางการของ Infinix บน Shopee, Lazada และ TikTok รวมทั้งตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ