คลังเก็บ

รีวิว Infinix Note 30 5G สมาร์ตโฟนเกมมิ่ง คุ้มสุดในงบ 8,000 ด้วยชิป 5G ตัวแรง หน้าจอ 120Hz ชาร์จเร็ว 45W 

ในปีนี้มีสมาร์ตโฟน 5G เปิดตัวมาแล้วมากมายหลายรุ่นจนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วครับ แต่ถ้าอยากได้สมาร์ตโฟน 5G ที่เน้นเกมมิ่งเป็นหลัก และมีราคาค่าตัวที่คุ้มค่า คุ้มราคา เป็นเจ้าของได้ง่าย ก็ต้องรุ่นนี้เลยครับ Infinix Note 30 5G ที่แค่เห็นกล่องก็ต้องบอกเลยว่า มันคือมือถือเล่นเกมแน่ๆ เพราะรุ่นนี้เป็นการจับมือกันระหว่าง Infinix และ RoV เกมออนไลน์บนมือถือที่เป็นมากกว่าการเล่นเกม เพราะเกมนี้ถูกนำไปบรรจุในกีฬา eSport แล้ว 

และเห็นแพ็คเกจมาแบบนี้ บอกเลยว่าคนที่หามือถือเล่นเกมงบไม่เกินหมื่นต้องมีกระเป๋าสั่นกันบ้าง เพราะ Infinix Note 30 5G รุ่นนี้มาพร้อมชิป 5G Gaming Dimensity 6080 พร้อมกับ RAM ให้มาเยอะจุใจระดับเรือธง 8GB + RAM เสมือนอีก 8GB รวมเป็น 16GB ตอบโจทย์การใช้งาน Multi-Tasking ระดับสูง ไปจนถึงการเล่นเกม หรือเล่น Multimedia ต่างๆ อย่างลื่นไหล

และให้หน่วยความจำมาเยอะจุใจ 128GB เพิ่มเมมเสริมได้อีก โหลดแอปโหลดเกมได้เต็มสูบ และสเปคต่างๆ ในระดับสูงกว่าค่าตัวระดับนี้ เช่น ชาร์จเร็วถึง 45W ฟังสเปคคร่าวๆ ยังดุดันไม่เกรงใจใครขนาดนี้ เดี๋ยวไปอ่านการทดสอบในรีวิวเลยครับ รับรองว่าใครหามือถือเล่นเกมโดยเฉพาะ RoV จะต้องหลงรักเครื่องนี้ได้ไม่ยากเลยครับ 

Infinix Note 30 5G

สเปค Infinix Note 30 5G 

  • หน้าจอขนาด 6.78 นิ้ว สัดส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่อง 90.6% ความละเอียด 2460×1080 พิกเซล 
  • ใช้หน้าจอแบบ IPS LCD ความสว่างสูงสุด 580nits 
  • ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 6080 Octa-Core 2.4GHz
  • GPU Mali-G57 MC2
  • RAM 8GB
  • หน่วยความจำภายใน 128GB
  • รองรับ 5G
  • รองรับ microSD Card สูงสุด 2TB มีช่องแยกให้
  • กล้องถ่ายภาพ
    • กล้องหลัง
      • กล้องหลัก 108 ล้านพิกเซล, 1/1.67″, รองรับโฟกัสแบบ PDAF มีไฟแฟลช LED
      • กล้อง depth 2 ล้านพิกเซล
      • กล้อง AI
    • กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล มีไฟแฟลช LED
  • มีลำโพงคู่ ระบบเสียง JBL, DTS, Hi-RES, WIDVINE L1+
  • แบตเตอรี่ 5000mAh 
  • ชาร์จเร็ว 45W แถมที่ชาร์จในกล่อง
  • มี FM Radio
  • รองรับ NFC
  • มีช่องหูฟัง 3.5 มม.
  • ขนาดตัวเครื่อง 168.51 x 76.51 x 8.45 มม. 
  • น้ำหนัก 204.7 กรัม
  • ตัวเลือกสี Magic Black / Interstellar Blue / Sunset Gold
  • ระบบปฏิบัติการ Android 13
  • ราคาเปิดตัว 7,499 บาท 

แกะกล่อง Infinix Note 30 5G

  • สมาร์ตโฟน Infinix Note 30 5G
  • สายดาต้า USB-C
  • ที่ชาร์จเร็ว 45W
  • เคสดีไซน์ RoV สุดสวย
  • สติ๊กเกอร์ RoV 
  • ฟิล์มกันรอย
  • ที่ถอดซิม
  • คู่มือและใบรับประกัน

สติ๊กเกอร์คอลเล็คชั่นพิเศษจาก RoV

ใส่เคสแล้วก็จะสวยเท่แบบนี้เลยครับ

ดีไซน์การออกแบบ 

Infinix Note 30 5G มีดีไซน์การออกแบบที่ดูสวยหรู ทันสมัยครับ การออกแบบด้านหลังในสี Magic Black นี้จะเป็นโทนสีแบบด้าน มีประกายระยิบระยับเมื่อสะท้อนแสง ขอบด้านข้างเป็นแบบเรียบ มุมตัวเครื่องโค้งเล็กน้อยพร้อมใช้เป็นวัสดุแบบสะท้อนแสงดูสวยงาม และวัสดุแบบนี้ช่วยให้สมาร์ตโฟนด้านหลังไม่เป็นรอยนิ้วมือง่ายครับ

สำหรับผู้รีวิวขนาดสมาร์ตโฟนถือว่าใหญ่กำลังพอดีมือครับ สามารถถือได้ง่าย และมีน้ำหนักกำลังดี ถือเล่นเกมได้นานโดยไม่เมื่อยล้า เพราะมีน้ำหนักเพียงประมาณ 2 ขีดนิดๆ เท่านั้น และรุ่นนี้ยังได้รับการรับรอง IP53 สำหรับการกันน้ำกันฝุ่นในระดับน้ำกระเซ็นได้ด้วยครับ ถือว่าไม่ได้มีบ่อยบนมือถือราคาระดับนี้ครับ

สมาร์ตโฟนมีหน้าจอขนาดค่อนข้างใหญ่ครับ โดยมีขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียด 2460×1080 พิกเซลที่คมชัด และเป็นหน้าจอแบบ IPS LCD ให้ความสว่างสูงมากที่ 580nits ทำให้สามารถสู้แสงได้ดี มีขอบจอเท่ากันทุกด้านยกเว้นด้านล่างที่หนากว่าเล็กน้อย มีสัดส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องที่ 90.6% ที่ถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างดี และกล้องหน้าของรุ่นนี้จะใช้แบบช่องเจาะรู punch-hole ที่ดูทันสมัยตามแบบฉบับสมาร์ตโฟนเรือธง 

ปุ่มควบคุมทั้งหมดอยู่ที่ด้านขวา ประกอบด้วย ปุ่มควบคุมเสียง และปุ่ม Power ที่ใช้สำหรับสแกนลายนิ้วมือด้วยครับ

ด้านซ้ายมีช่องใส่ซิมการ์ด ซึ่งรุ่นนี้จะรองรับ 2 ซิมการ์ดและมีช่องใส่ microSD Card แยกให้ โดยรองรับการ์ดความจำเสริมสูงสุด 2TB เยอะจุใจ

ด้านบนมีลำโพง และสัญลักษณ์ JBL การันตีคุณภาพเสียงของรุ่นนี้ครับ

ด้านล่างมีลำโพงอีกด้าน ทำให้รุ่นนี้รองรับเสียงแบบ Stereo นอกจากนี้ยังมีพอร์ต USB-C ไมค์ และช่องหูฟัง 3.5 มม. และยังรองรับ FM Radio สำหรับฟังวิทยุด้วยครับ โดยจะใช้หูฟังเป็นสายสัญญาณนั่นเอง 

ด้านหลังจะมีเกาะกล้องขนาดใหญ่ ภายในมีวงกลมหลักๆ สองวงโดยวงบนเป็นกล้องหลัก 108 ล้านพิกเซลตัวเด็ด และวงกลมด้านล่างจะเป็นกล้องเสริม 2MP + กล้อง AI ถัดไปเป็นไฟแฟลช LED ที่สว่างมาก และอีกวงจะเป็นตัวเสริมดีไซน์เท่านั้นครับ ไม่ได้ใช้อะไร และด้านล่างสุดจะเป็นโลโก้ Infinix 5G

โดยรวมด้านการออกแบบ Infinix Note 30 5G ถือว่าเป็นสมาร์ตโฟนที่มีดีไซน์สวยงาม ดูทันสมัยน่าใช้ มีขนาดหน้าจอขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับเล่นเกม หรือรับชมคลิป ดูหนังฟังเพลง หรือดูซีรีย์อย่างมากครับ

ประสิทธิภาพการใช้งาน

ด้านประสิทธิภาพและประสบการณ์การใช้งาน Infinix Note 30 5G เบื้องต้นมาดูสเปคอย่างละเอียดของรุ่นนี้กันก่อนครับ สมาร์ตโฟนรุ่นนี้จัดว่าเป็นหนึ่งในสมาร์ตโฟนเกมมิ่งในงบต่ำ 8,000 บาทที่ดีที่สุดเลยทีเดียว เพราะให้ชิปเซ็ตเกมมิ่งอย่าง Dimensity 6080 5G ตัวแรงในงบจาก MediaTek ที่ยกระดับการเล่นเกมให้ดีขึ้น 20% นำโดยคอร์ประสิทธิภาพสูง ARM Cortex-A76 ความเร็วสูงสุด 2.4GHz ช่วยเพิ่มความลื่นไหลในการประมวลผลทั้งการเล่นเกม รวมไปถึงการใช้งานทั่วไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมกินพลังงานต่ำอีกด้วย

จุดเด่นอีกอย่างนอกจากการรองรับ 5G ของสมาร์ตโฟน Infinix Note 30 5G แล้ว ยังรองรับเทคโนโลยี Clever 5G 2.0 ที่มีระบบปรับช่องสัญญาณให้ดีที่สุดอัตโนมัติ และเทคโนโลยี UPS หรือ Ultra powerful Signal ที่ทาง Infinix พัฒนาขึ้นเอง ซึ่งช่วยดึงสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้แรงขึ้นขณะสถานะการณ์ที่สัญญาณอ่อน เช่น ขณะใช้งานบริเวณลิฟท์ ที่จอดรถชั้นใต้ดิน หรือพื้นที่นอกเมือง โดยใช้การออกแบบเสาสัญญาณใหม่และอัลกอริทึมพิเศษของค่าย ช่วยสลับเสาสัญญาณอย่างชาญฉลาดและเร่งความเร็วเครือข่าย ลดความน่วงขณะเล่นเกมได้เป็นอย่างดี 

นอกจากชิปเซ็ตก็แรง อินเทอร์เน็ตก็เร็วแล้วอีกหนึ่งสิ่งที่เอามาเอาใจเกมเมอร์ก็คือการให้ RAM และหน่วยความจำเยอะเป็นพิเศษครับ โดยให้ RAM มา 8GB รวมกับ virtual RAM อีก 8GB เป็น 16GB เทียบเท่ากับสมาร์ตโฟนเรือธงในตลาดเลยครับ รวมถึงมีความจำภายใน 128GB และเพิ่มเติมได้อีกผ่าน microSD Card ได้สูงสุดถึง 2TB จัดหนักจัดเต็มจริงๆ 

อีกหนึ่งข้อดีที่ผู้รีวิวค่อนข้างชอบบน Infinix Note 30 5G ก็คือการมาพร้อมหน้าจอขนาดใหญ่ 6.78 นิ้ว แถมให้อัตรารีเฟรทเรทที่สูงกว่าสมาร์ตโฟนอื่นๆ ในงบเดียวกันที่ 120Hz เพราะส่วนใหญ่จะให้อยู่ในระดับ 60-90Hz สำหรับสมาร์ตโฟนราคาระดับต่ำหมื่นครับ แถมมีความละเอียดที่คมชัดระดับ Full HD+ 2460×1080 พิกเซล และมีความสว่าง 580nits

จากที่ทดสอบเล่นเกมในตอนกลางวัน สามารถสู้แสงได้ดีมากทีเดียว และยังมีระบบ Eye-Care Mode ช่วยถนอมสายตาผู้ใช้ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนที่มีแสงน้อยอีกด้วย เพราะยังได้รับการรับรองจาก TUV Rheinland ว่าเป็นหน้าจอที่มีแสงสีฟ้าที่อาจเป็นอันตรายต่อดวงตา โดยมีแสงสีฟ้าต่ำและลดการสั่นไหวของภาพ ช่วยลดความเมื่อยล้าของสายตาจากการใช้หน้าจอเป็นเวลานาน 

และจุดเด่นอีกอย่างที่เราค่อนข้างชอบคือการให้แบตมาค่อนข้างเยอะครับ คือให้มาที่ 5000mAh พร้อมการรองรับความเร็วการชาร์จ 45W ถือว่าสูงมากสำหรับสมาร์ตโฟนระดับนี้ครับ เพราะเรือธงบางค่ายปัจจุบันยังให้มาแค่ 25W อยู่เลย และในกล่องแถมที่ชาร์จไวมาให้เลยด้วยครับ

โดยระบบชาร์จเร็วของ Infinix จะเป็นแบบ Dual-Channel พร้อมปั๊มชาร์จแบบขนาน 2:1 ที่ชาร์จแบต 5000mAh ได้เต็ม 1-75% ใน 30 นาทีเท่านั้น หรือชาร์จเพียง 5 นาทีก็เล่นเกมต่อได้อีกนานถึง 1.75 ชั่วโมง

นอกจากนี้ Infinix ยังมีระบบถนอมแบตเตอรี่ด้วยการ Bypass แบตเตอรี่ หรือพูดง่ายๆ ก็คือการส่งพลังงานจากที่ชาร์จข้ามผ่านแบตเตอรี่ไปหาตัวเครื่องได้เลย ระบบนี้เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยลดความร้อนของเครื่อง เพราะการเล่นเกมไปแล้วชาร์จไปพร้อมกันทำให้เครื่องเกิดความร้อนสูงมาก ทำให้การชาร์จแบบ Bypass นี้สามารถลดอุณหภูมิลงได้ถึง 7 องศา ช่วยคงประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการเล่นเกมได้ดีมากขึ้น และสมาร์ตโฟน Infinix Note 30 5G ยังรองรับ PD 3.0 ที่ความเร็วสูงสุด 35W ทำให้สามารถใช้ที่ชาร์จอื่นๆ ร่วมได้อีกหลากหลายครับ 

ทางด้านระบบเสียงของรุ่นนี้ก็ไม่พูดถึงไม่ได้ครับ เพราะ Infinix Note 30 5G มาพร้อมลำโพงคู่ Stereo ที่ปรับแต่งโดยร่วมมือกับ JBL บริษัทเครื่องเสียงชั้นนำของโลก แถมยังให้ช่องหูฟัง 3.5 มม. มาด้วย ใครที่มีหูฟังเทพๆ ก็สามารถนำมาใช้งานร่วมกันได้ เพราะแม้เป็นสมาร์ตโฟนราคาประหยัด ก็ยังรองรับระบบเสียง Hi-Res Audio ด้วยครับรุ่นนี้ ฟังเพลงแจ่มมาก

และสำหรับการเล่นเกม โดยเฉพาะใครที่เป็นแฟนเกม RoV ไม่ควรพลาดรุ่นนี้เลยครับ เพราะนอกจากคอนเท้นต์พิเศษที่ฟีเจอริ่งมาในแพ็คเกจแล้ว สมาร์ตโฟนรุ่นนี้ยังสามารถเล่นเกม RoV ได้ลื่นไหลดีมากครับ แถมตัวเครื่องยังมีความร้อนที่ต่ำมาก ใครอยากเล่นเกมแบบ 60FPS ลื่นๆ เนียนตา ไม่ต้องจ่ายแพงเลยครับ 

นอกจากนี้เรายังทดสอบเกมอย่าง Marvel Future Fight หรือ Asphalt 9 ก็สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหลดีในโหมดกราฟฟิกระดับสูงอีกด้วย ใครอยากจัดมือถือเล่นเกมราคาดีๆ แนะนำเลยครับ ไม่ผิดหวังจริงๆ และด้านล่างนี้จะเป็นผลการทดสอบ Benchmark และหน้าจอเมนูต่างๆ ครับ 

Infinix Note 30 5G สามารถทำคะแนน AnTuTu ได้ที่ 359495 คะแนน และรองรับ Multi-Touch 5 จุด

ผลการทดสอบ Geekbench 6

ผลงานทดสอบ Geekbench 6 GPU

ผลทดสอบ 3D Mark Wild Life ได้ที่ 1332 คะแนน

ผลทดสอบ CPU-Z

ผลทดสอบ PCMARK ได้ที่ 10118 คะแนน

หน้าจอโฮมและหน้าการแจ้งเตือน Notification

หน้าจอในเมนูการตั้งค่า

การตั้งค่าหน้าจอสามารถปรับแต่ง Wallpaper โหมดหน้าจอต่างๆ หรือธีมได้หลากหลายและสามารถดาวน์โหลดเพิ่มเติมได้

ด้านความปลอดภัยสามารถตั้งค่าการล็อคหน้าจอดได้หลากหลาย เช่น การสแกนนิ้ว สแกนใบหน้า และใส่รหัสผ่านต่างๆ ครบถ้วน

อ่านต่อหน้า 2