สวัสดีครับ กลับมาพบการรีวิวสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่กับทีมงาน MobileOcta อีกครั้งนะครับ วันนี้เรามี Infinix Hot 10 Play สมาร์ทโฟนสำหรับคนชอบ “เล่น” ตามชื่อรุ่น “Play” นั่นล่ะครับ เพราะเพรียบพร้อมไปด้วยสเปคที่ดี ในราคาที่ใครก็เป็นเจ้าของได้ง่าย เหมาะกับการใช้งานทั้ง Multimedia และการใช้งานทั่วไปได้อย่างลงตัว
มาดูสเปคเด่นคร่าวๆ ของ Infinix Hot 10 Play กันครับ รุ่นนี้มาพร้อม CPU MediaTek Helio G35 ตัวแรงระดับเริ่มต้น RAM 4/64GB กล้องหลังคู่ 13MP+Portrait AI Dual Camera และแบตเตอรี่ 6000mAh เยอะจุใจ แต่ใช้งานจริงจะเป็นอย่างไรนั้น ไปชมรีวิวกันได้เลยครับ
แกะกล่อง Unboxing
ก่อนจะไปชมรีวิว เรามาดูอุปกรณ์ในกล่อง Infinix Hot 10 Play กันก่อนครับ มาดูกันว่าในกล่องเราจะได้อะไรบ้าง
- ตัวเครื่อง Infinix Hot 10 Play
- เคสใส
- ฟิล์มกันรอย
- หัวชาร์จ
- สายดาต้า
- เข็มจิ้มซิม
- คู่มือ
- XClub Gold Coin Bank สำหรับใช้แลกสิทธิประโยชน์จาก Infinix
ในกล่องจัดว่าให้มาครบ จบ พร้อมใช้ครับ มีเคสและฟิล์มกันรอยแถมให้ด้วยจ้า
สเปค Infinix Hot 10 Play
- หน้าจอ 6.82 นิ้ว TFT-LCD ความละเอียด HD+ (1640×720 พิกเซล) มีรอยบาก waterdrop (อัตราส่วน 20.5:9)
- มิติตัวเครื่อง 171.82 x 77.96 x 8.9 มม.
- CPU : MediaTek Helio G35 Octa-Core 2.0GHz
- RAM : 4 GB
- ROM : 64 GB เพิ่มเมมได้ด้วย Micro-SD (มีช่องแยกให้) สูงสุด 512 GB
- รองรับ 2 ซิมการ์ด (nano SIM)
- แบตเตอรี่ 6,000 mAh
- รองรับความเร็วในการชาร์จ 10W
- รองรับสแกนนิ้วด้านหลังตัวเครื่อง
- รองรับการสแกนใบหน้า Face Unlock
- กล้องหลัง 2 ตัว
- กล้องหลัก 13 MP
- กล้อง Portrait AI
- กล้องหน้า 8 MP
- รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียด Full HD 1080p @30 fps
- ระบบปฏิบัติการ Android 10 (Go Edition) ครอบด้วย XOS 7
- มี 2 สีให้เลือก คือสีดำ เขียว น้ำเงิน และม่วง
- ราคา 3,599 บาท
Design การออกแบบ
Infinix Hot 10 Play มาพร้อมการออกแบบที่สวยงาม ทันสมัยตามยุคนี้ครับ ด้านหลังใช้วัสดุมันเงา ดูมีเส้นสายกราฟฟิกสวยงามเอาใจวัยรุ่น โดยรุ่นที่เราได้มาทดสอบนี้เป็นรุ่นสีม่วง เมื่อสะท้อนแสงในมุมมองต่างๆ ด้านหลังดูมีการเล่นแสงสวยงาม แต่น่าชมเชยอีกอย่าง คือฝาหลังเป็นรอยนิ้วมือได้ยากครับ สามารถใช้แบบไม่ต้องใส่เคสก็ได้ แต่จะใส่ก็ไม่มีปัญหา เพราะแถมมาให้ฟรีในกล่องอยู่แล้ว
ดีไซน์กรอบกล้องด้านหลังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า วางอยู่บริเวณมุมซ้ายบน มีความนูนขึ้นมาเล็กน้อย กล้องเรียงกันในแนวตั้งพร้อมไฟแฟลช ส่วนวงกลมด้านขวาเขึยนไว้ว่า AI ซึ่งไม่ใช่กล่องนะครับ แค่ดูเหมือนเท่านั้น และใกล้กันมีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า Dual Camera Designed by Infinix
ถัดลงมาอีกนิด จะมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือครับ การสแกนถือว่าทำได้ไวตามมาตราฐาน วางอยู่ในตำแหน่งที่สามารถใช้งานได้ง่ายขณะจับถือ และล่างสุดเป็นโลโก้ Infinix สีเทา ดูแล้วดีไซน์ดูสวยงามลงตัว ไม่มากไป ไม่น้อยไป
ส่วนที่ด้านหน้าเป็นหน้าจอแบบ TFT-LCD ขนาดใหญ่มากที่ 6.82 นิ้ว ความละเอียดระดับ 720p+ ใช้กล้องหน้าแบบรอยบาก waterdrop ขนาดไม่ใหญ่ ทำให้ไม่รกเกะกะสายตา ขอบหน้าจอมีความแบนราบ และมีมุมซ้ายบนมีจุดไฟแสดงสถานะให้ด้วย
ที่ด้านขวามาพร้อมปุ่มปรับเสียง และปุ่ม power อยู่ใกล้กัน
ด้านซ้ายมีช่องใส่ซิมครับ ซึ่งดีที่ให้ช่องแยก MicroSD Card มาให้เพิ่มความจำได้สูงสุด 512GB และใช้ซิมแบบ nano SIM ได้ 2 ซิม
ด้านบนไม่มีอะไรเลยครับ ส่วนด้านล่างมีไมค์, พอร์ต microUSB และช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ไว้ให้เสียบสายฟังวิทยุ FM Radio ด้วย เพราะรุ่นนี้รองรับครับผม
ส่วนลำโพงนอกของมือถือนั้น วางอยู่ในตำแหน่งด้านบนบริเวณช่องหูฟังครับ
โดยรวมแล้ว ด้านการออกแบบถือว่าทำได้ดีสวยงามตามมาตราฐานครับ ไม่มีอะไรให้ติ แม้เป็นมือถือขนาดใหญ่พอสมควรที่มีหน้าจอ 6.82 นิ้ว (แทบจะใหญ่เป็นแท็บเล็ตอยู่แล้ว) แต่ตอนจับใช้งานก็ไม่รู้สึกว่าจะถือยากแต่อย่างใดครับ ส่วนน้ำหนักถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ ไม่หนักหรือเบาจนเกินไป ถือได้มั่นใจดีครับ ยิ่งเวลาเล่นเกมยิ่งจับเต็มไม้เต็มมือดีครับ
Performance ประสิทธิภาพ
ด้านประสิทธิภาพ Infinix Hot 10 Play จัดอยู่ในกลุ่มมือถือระดับเริ่มต้น แต่ก็ประมาทไม่ได้นะครับ เพราะชิปเซ็ตที่ใช้คือ MediaTek Helio G35 โดยในชิป G-Series ของค่ายนี้เน้นการเล่นเกมอยู่แล้วด้วย ดังนั้นใครหามือถือเล่นเกมราคาประหยัด ไม่อยากให้มองข้ามรุ่นนี้ครับ
ซึ่งอย่างที่เราบอกไปว่าสมาร์ทโฟนรุ่นนี้มาพร้อมหน้าจอความละเอียดระดับ 720p+ ยังไม่ถึงความละเอียดระดับ Full HD ซึ่งก็ถือว่ายังไม่ละเอียดเท่าไหร่ แต่ก็คล้ายกับมือถือในราคาระดับนี้ที่ให้จอความละเอียดประมาณนี้แทบทั้งตลาด สำหรับการใช้งานจริง ไม่รู้สึกติดขัดอะไรกับจอ HD+ เลยครับ แถมได้จอใหญ่ถึง 6.82 นิ้ว ยิ่งดูหนังฟังเพลง หรือเล่นเกมสบายตาไปใหญ่
สำหรับในการเล่นเกม การได้หน้าจอใหญ่ๆ มันได้เปรียบคู่แข่งแน่นอนครับ เพราะเราจะสามารถเห็นคู่แข่งได้ก่อนสำหรับการเล่นเกม Survival อย่างพวก Free Fire หรือ PUBG Mobile โดยสำหรับการเทสในครั้งนี้เราลองเล่นเกมอย่าง Free Fire ชิปประมวลผลอย่าง Helio G35 ก็ไม่ทำให้ผิดหวังครับ สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล ไม่มีสะดุดแต่อย่างใด ทัชสกรีนก็ถือว่าติดนิ้วดีใช้ได้ และยิ่งได้เล่นเกมแบบจอใหญ่ เวลามองหาศัตรู ถือว่าเห็นได้ชัด ได้เร็วขึ้นด้วยครับ ช่วยได้เยอะเลย
อีกเกมที่ได้ทดสอบเป็นเกม RoV อีกหนึ่งเกมยอดนิยม ด้วยชิปเซ็ตตัวนี้ทำให้สามารถเปิดเล่นในโหมดไฮเฟรมเรตได้ หรือเรียกตามภาษาคนเล่นเกมนี้จะเรียกว่าเปิด 60fps ได้ แต่การใช้งานจริงเฟรมเรตมีตกบ้างอยู่ระหว่าง 50-60fps ซึ่งส่วนตัวถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้ครับ เล่นแล้วลื่นไหลดีไม่มีปัญหาแต่อย่างใด การทัชสกรีนก็ตอบสนองได้ดี ถือว่าคุ้มค่าในงบระดับมือถือไม่เกิน 4 พันบาท เล่นเกมได้ระดับนี้คุ้มแล้ว
และส่วนหนึ่งที่ถือว่าเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้การเล่นเกมลื่นไหล น่าจะเป็นในส่วนของ Game Mode ครับ เพราะระบบจะช่วยบูสต์ประสิทธิภาพการประมวลผลให้ดีขึ้นนั่นเอง ซึ่งมือถือราคาประหยัดอย่างรุ่นนี้ยังให้มา ถือว่าแจ่มมากทีเดียว
Camera ด้านการถ่ายภาพ
สำหรับด้านกล้องของ Infinix Hot 10 Play ที่กล้องหลังเป็นกล้องคู่ Dual Camera กล้องตัวหลักความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ทำงานร่วมกับกล้อง AI ที่ช่วยเลือกซีนที่เหมาะสมกับภาพ เพื่อช่วยให้ภาพถ่ายออกมาดีที่สุดด้วยซอฟท์แวร์เฉพาะ
ด้านคุณภาพของกล้องต้องยอมรับว่ารุ่นนี้เน้นการเล่นเกมพอสมควร ทำให้กล้องอาจอยู่ในระดับที่พอใช้ได้ครับ แต่เมื่อดูที่คุณภาพก็ถือว่าดีสมราคาของมัน การเก็บรายละเอียดในที่แสงเพียงพอทำได้ดีครับ สีสันถือว่าถ่ายสวยเพียงพอให้เพื่อนกดไลค์กดแชร์ในโซเชียลได้สบาย ลองชมตัวอย่างภาพจากกล้องด้านล่างนี้เลยครับ
จากภาพก็ถือว่าถ้าแสงถึงๆ ก็สามารถสร้างภาพถ่ายที่สวยงามได้ไม่ยากครับ แต่หากถ่ายเวลากลางคืน แน่นอนว่าคุณภาพก็ต้องดร็อปลงไปเป็นเรื่องปกติ (ขนาดมือถือเครื่องหลายหมื่น ถ่ายกลางคืนไม่สวยมีให้เห็นเยอะแยะ) แต่ก็ยังมีโหมดถ่ายภาพสนุกๆ อย่างเช่น Slow Motion, โหมดหน้าสวย หรือโหมด AI ให้ถ่ายสนุกด้วยเช่นกัน
ส่วนกล้องหน้า โหมดหน้าสวยมีมาให้เล่นแน่นอน นอกจากนี้ยังมีโหมดสนุกๆ อย่าง AR Shot ที่เป็นการถ่ายภาพพร้อมกราฟฟิกน่ารักๆ หรือจะเป็น Wide Selfie ที่แม้จะเป็นเลนส์ธรรมดา แต่สามารถถ่ายให้เป็นมุมกว้างได้ อันนี้ก็มีประโยชน์ดีครับ (กล้องหน้ามีไฟแฟลชด้วยนะ ลืมบอกไป ถ่ายที่แสงน้อยดีมากๆ)
โดยรวมกล้องบนมือถือรุ่นนี้ถือว่าให้มาเพียงพอต่อการใช้งานครับ คุณภาพก็ดีสมราคา มือถือราคาระดับนี้อย่าไปเทียบกับรุ่นเป็นหมื่นครับ มันเป็นไปไม่ได้
Battery การใช้พลังงาน
ด้านแบตเตอรี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดขายสำคัญครับ เพราะว่ารุ่นนี้มาพร้อมหน้าจอค่อนข้างใหญ่ทีเดียว ซึ่งอาจทำให้เพื่อนๆ คิดว่ารุ่นนี้แบตจะหมดไวหรือเปล่า? ซึ่งไม่ต้องกังวลเลยครับ เพราะ Infinix Hot 10 Play ให้แบตมาเยอะจุใจถึง 6000mAh เลยทีเดียว แถมหน้าจอความละเอียดระดับ HD+ ที่ประหยัดพลังงานด้วยอยู่แล้ว ยิ่งทำให้การใช้งานทั่วไปบนรุ่นนี้สามารถข้ามวันได้สบายๆ หรือจะเล่นเกมก็ “อึด ถึก ทน” กว่ามือถือทั่วไป
แต่น่าเสียดายอย่างเดียวที่รุ่นนี้การชาร์จถือว่ายังไม่เร็วเท่าไหร่ แต่ถ้าชาร์จกลางคืนทิ้งไว้ แล้วเช้ามาเปิดใช้ ก็ถือว่าไม่ติดอะไรครับ และยังใช้การชาร์จแบบ microUSB อยู่ครับ ยังไม่เปลี่ยนไปหา USB-C ซึ่งก็น่าเสียดายอยู่ไม่น้อยสำหรับมือถือปี 2021
ซึ่งตามสเปคทาง Infinix ระบุว่าสมาร์ทโฟนรุ่นนี้สามารถสแตนด์บายได้นานถึง 55.7 วัน โทรต่อเนื่องได้ 53.4 ชม. และที่สำคัญสามารถเล่นเกมต่อเนื่องได้ 13.8 ชม. ถือว่าน่าประทับใจไม่น้อย
Price ราคา
ทางด้านราคา Inifinix Hot 10 Play เปิดตัวที่ราคา 3,599 บาท ซึ่งถือว่าถูกมากแล้ว และมีการร่วมโปรโมชั่นกับห้างค้าปลีกออนไลน์บางเจ้า ทำโปรลดเหลือ 3,299 บาทสำหรับรุ่น RAM 4/64GB และสำหรับรุ่น RAM 2/32GB จะมีราคาเริ่มต้นที่ 2,899 บาท (บางเจ้าจัดโปรเหลือ 2,599 บาท) โดยมีสีให้เลือกคือสี น้ำเงิน Aegean Blue, เขียว Morandi Green, ดำ Obsidian Black และม่วง 7 Degree Purple ซึ่งวางจำหน่ายแล้วในตอนนี้
Conclusion สรุป
สรุปการรีวิว Infinix Hot 10 Play สมาร์ตโฟนรุ่นนี้เหมาะกับคนที่มองหาสมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่เบิ้มสำหรับ “เล่น” มัลติมีเดียโดยเฉพาะครับ เพราะนอกจากหน้าจอจะใหญ่แล้ว ยังให้แบตมาเยอะจุใจ เล่นเกมต่อเนื่องได้นานเป็นสิบชั่วโมง และที่สำคัญยังมาพร้อมกับราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายด้วย
และนอกจากด้านความบันเทิงแล้ว สมาร์ตโฟนรุ่นนี้ยังเหมาะกับการใช้เรียนออนไลน์ด้วยครับ เพราะหน้าจอที่ใหญ่ ทำให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเพ่งสายตามากจนเกินไป จนอาจทำให้เสียสายตาได้ ยิ่งเป็นข้อดีที่สำคัญทีเดียว
ส่วนจุดสังเกตของรุ่นนี้เอาจริงเมื่อมองที่ราคาแล้ว ไม่อยากคิดว่าเป็นข้อสังเกตเลยครับ แต่ถ้าต้องชี้จริงๆ ก็อาจเป็นการที่มาพร้อมพอร์ตการเชื่อมต่อ microUSB ที่ดูล้าสมัยไปเสียหน่อย ทำให้การชาร์จเร็วมีข้อจำกัด ซึ่งหากเปลี่ยนเป็นพอร์ต USB-C อาจทำให้ชาร์จเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งเราอาจได้เห็นการปรับปรุงในรุ่นต่อไปก็เป็นได้
สำหรับการรีวิวสมาร์ตโฟน Infinix Hot 10 Play ของพวกเราทีมงาน MobileOcta ก็ต้องขอจบแต่เพียงเท่านี้ครับ หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย จนกว่าจะพบกันใหม่ สวัสดีครับ ^^