เทศกาลวันแม่ในแต่ละปีมักเป็นช่วงเวลาที่แม่ลูกหลายคนได้ใช้เวลาร่วมกันภายในครอบครัวแต่สำหรับปีนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นในเร็ววันทำให้หลายครอบครัวอาจไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันเหมือนเช่นที่ผ่านมา ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้บทบาทในการดูแลครอบครัวของคุณแม่หลายคนต้องท้าทายขึ้นกว่าเดิม
โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบทางอาชีพก็จำเป็นต้องลองทำสิ่งใหม่ๆ เพื่อหาหนทางรอดเมื่อต้องเผชิญกับวิกฤติ วันนี้แกร็บมีเรื่องราวของ 2 คุณแม่ที่แม้เธอทั้งคู่จะเติบโตมาจากต่างถิ่น ต่างครอบครัว และมีประสบการณ์ชีวิตที่ต่างกัน แต่ความเป็นแม่คือสิ่งที่เชื่อมโยงให้ผู้หญิง 2 คนนี้มีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการเลือกที่จะสู้เพื่อดูแลลูกอย่างดีที่สุด
เพราะมีสองชีวิต…คนเป็นแม่ต้องคิดให้ไกล
อรัญญา สิงห์ทิพย์ หรือแม่ญา คุณแม่วัย 47 ของลูกสาวเพียงคนเดียวอย่าง น้องปิ่น-ภัสวณันท์ สิงห์ทิพย์ วัย 18 ปี เล่าให้ฟังว่า เดิมทีเธอเป็นคนจังหวัดยโสธรและย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ กว่า 9 ปีแล้ว โดยอาชีพหลักที่ใช้เลี้ยงชีพมาตลอดคือการขายอาหาร เพราะเธอนั้นมีความชอบทำอาหารเป็นทุนเดิม โดยก่อนหน้านี้เคยเปิดร้านขายอาหารตามสั่งอยู่แถวตลาดศรีดินแดง แต่น่าเสียดายที่ต้องปิดตัวไปเพราะพิษโควิดตั้งแต่ระลอกแรก
“แม่ชอบเรื่องการทำอาหารมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะซึมซับมาจากคุณยาย อาหารที่ทำได้ก็มีหลากหลายทั้งอาหารไทย ขนมไทยและเบเกอรี่ต่างๆ พอโตมาก็เลยได้ใช้ความรู้ตรงนี้มายึดทำเป็นอาชีพหารายได้ดูแลครอบครัวมาโดยตลอด และก็ได้ถ่ายทอดให้น้องปิ่นไว้ด้วยเผื่อว่าวันข้างหน้าอย่างน้อยเค้าก็จะได้มีวิชาติดตัวไป”
“ช่วงที่เริ่มมีโควิดเข้ามาแล้วรายได้มันค่อยๆ หายไปยอมรับเลยว่าเครียดมาก เพราะเรามีภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องดูแลในแต่ละเดือนไม่น้อย พอปัญหามันเข้ามาทุกทางเราก็หันหน้าไปพึ่งใครไม่ได้ เพราะเราเองก็เป็น Single Mom ตอนนั้นมันมีจังหวะที่เราเกือบคิดสั้นด้วยนะ คือเดินไปที่สะพานลอยและพร้อมที่จะไปแล้ว แต่เหมือนดวงยังไม่ถึงฆาต คุณยายก็โทรเข้ามาและบอกให้กลับบ้านเพราะน้องปิ่นรออยู่ พอกลับมาเห็นหน้าลูกเราก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ กอดคอร้องไห้กับลูกและคิดว่าหลังจากนี้ไม่เอาอีกแล้ว ถ้าเราไม่อยู่แล้วลูกเราจะอยู่ยังไง เขาอยู่กับเรามา 18 ปีเราต้องไม่ทิ้งเขาไปง่ายๆ แบบนี้อีก จากจุดนั้นเลยเป็นแรงฮึดให้เราลุกขึ้นมาสู้ต่ออีกครั้ง”
ถ้าเจอปัญหาอย่ามัวเสียเวลาหาข้ออ้าง
เมื่อเจอพิษโควิดเข้าไปทำให้แม่ญาจำเป็นต้องปิดร้านอาหารตามสั่งลง ในขณะที่มองหาแหล่งรายได้ใหม่ก็มีเพื่อนชักชวนให้ลองมาขับแกร็บ ซึ่งช่วงแรกๆ แม่ญาก็ยังไม่ตัดสินใจทำเพราะไม่คุ้นชินกับเส้นทางในกรุงเทพฯ บวกกับไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำได้ จึงลองไปเป็นเด็กสะพายกระเป๋าแกร็บให้เพื่อนก่อน 1 วัน ปรากฎว่าการทดลองงานในวันนั้นก็ทำให้แม่ญาได้ก้าวข้าม Comfort Zone และอยู่บนเส้นทางการเป็นคนขับจัดส่งอาหารกับแกร็บมาเป็นเวลาปีกว่าแล้ว
“ก่อนจะมาขับแกร็บแม่กลัวมาก เพราะเราเองก็อายุมากแล้ว สายตาก็ไม่ค่อยดี GPS ก็ดูไม่ค่อยเป็น มันดูยากไปหมดสำหรับคนวัยเราที่จะมาเริ่มเรียนรู้อะไรแบบนี้ จนสุดท้ายมันต้องทำเพราะเราแทบจะไม่มีเงินเหลือแล้ว ก็เลยตัดสินใจสมัคร พอระบบอนุมัติก็คว้ามอเตอร์ไซค์ไปขับเลย ตอนมาขับแกร็บวันแรกแม่ก็ลองขับคนเดียวก่อน โห…กลับมาบ้านวันนั้น ร้องไห้กับลูกเลย เราไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อน จากที่เคยเป็นคนทำอาหาร ตอนนี้กลายมาเป็นคนส่งอาหาร ชีวิตมันเปลี่ยนไปเยอะนะคะ พอได้สติ มาคิดดูอีกทีชีวิตคนเราก็เปลี่ยนไปทุกวัน จากที่เคยมีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอพอเจอโควิดเข้าไปบางคนก็แทบไม่มีอาชีพทำด้วยซ้ำ แต่เรายังดีที่ยังมีทางออก ถ้าไม่มัวแต่นั่งเสียใจในโชคชะตาแม่เชื่อว่ายังไงเราก็หาทางรอดเจอนะ”
พาร์ทเนอร์ตัวจริงที่พร้อมลุยไปทุกที่
แม้ช่วงเเรกแม่ญาจะออกไปขับแกร็บคนเดียวจนเริ่มคุ้นเคยเเล้ว แต่ด้วยความเป็นห่วงคุณแม่ ในเวลาว่างน้องปิ่นจึงอาสาออกไปกับคุณแม่ด้วยเพื่อช่วยดู GPS และเดินไปรับอาหารเพื่อแบ่งเบาภาระของแม่ญา
“ตอนนี้ปิ่นเพิ่งจบ ม.6 จาก กศน.ค่ะ กำลังอยู่ในช่วงเก็บสะสมทุนการศึกษาเพื่อเรียนต่อมหาวิทยาลัย คิดว่าจะเข้าคณะมนุษย์ศาสตร์ที่รามคำแหงนะคะ เพราะค่าใช้จ่ายไม่สูงและเราสามารถจัดการเวลาเข้าเรียนได้ ช่วงเวลาที่ว่างจากการเรียนและทำงานก็เลยมาช่วยคุณแม่ด้วยค่ะ เพราะเป็นห่วงเวลาเขาออกไปขับรถคนเดียว”
“ก่อนหน้านี้ปิ่นมีรับงานเดินแบบหรือถ่ายแบบทำให้พอมีรายได้เข้ามา แต่พอโควิดระบาดหนักๆงานก็ค่อยๆ น้อยลงจนทุกวันนี้ไม่มีงานเลย รายได้หลักๆ ตอนนี้เลยมาจากแกร็บทางเดียวเลยค่ะ เวลาออกไปกับคุณแม่ก็จะแบ่งหน้าที่กันชัดเจนค่ะ หลักๆ คือคุณแม่จะขับรถ ส่วนปิ่นจะช่วยดูทางและวิ่งรับออเดอร์ พอออกมาทำงานด้วยกันแบบนี้ทำให้เราได้ดูแลซึ่งกันและกันตลอดเวลาเหมือนเป็นพาร์ทเนอร์กัน เพราะตอนนี้ปิ่นก็โตแล้วก็ถึงเวลาแล้วที่ต้องดูแลคุณแม่บ้าง และเราต้องเป็นที่พึ่งให้กับแม่ได้ในวันที่เขาต้องการกำลังใจ” น้องปิ่นพูดจบพลางมองหน้าคุณแม่ด้วยรอยยิ้ม
Single Mom ที่ชีวิตไม่โดดเดี่ยว
“แม่ญาแยกทางกับคุณพ่อของน้องปิ่นมากว่า 6 ปีแล้วนะ แต่ทุกวันนี้การได้อยู่กับลูกสองคนกลับรู้สึกสบายใจด้วยซ้ำเพราะเราไปไหนไปกันเป็นคู่ เวลาแม่ขับแกร็บน้องปิ่นก็มาช่วย ส่วนเวลาน้องปิ่นไปทำงานแม่ก็ขับมอเตอร์ไซค์คันเดียวกันนี้ไปส่งน้อง กลายเป็นว่าตั้งแต่มาขับแกร็บทุกวันนี้รู้จักเส้นทางในกรุงเทพฯ มากขึ้นกว่าเดิมอีก เพราะเวลามีออเดอร์เข้ามาแม่ไม่เคยกดยกเลิกเลยไปไหนไปกัน แถมยังอุ่นใจขึ้นเพราะแกร็บเขาก็มีทำประกันอุบัติเหตุเพื่อคุ้มครองคนขับด้วย ซึ่งแม่มองว่ามีประกันตรงนี้มันดีกับเราที่ต้องขับรถเกือบทุกวันนะ พอเราทำงานตรงนี้มาปีกว่าเราก็ได้ไอเดียอาชีพมาเพิ่มเหมือนกันนะ ตอนนี้แม่คิดว่าไว้รอสถานการณ์โควิดดีขึ้นแม่อาจจะเก็บเงินซื้อรถสักคันทำเป็น Food Truck ขับรถขายอาหารไปเรื่อยๆ ก็ได้นะ เราจะได้เจอลูกค้าหลากหลายแบบ ชีวิตน่าจะสนุกดีเหมือนกัน” แม่ญาเล่าเรื่องความฝันของเธอด้วยรอยยิ้มพร้อมมองหน้าลูกสาวคนเดียวที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวหัวใจให้ก้าวต่อไป
เมื่อพิษวิกฤติทำให้ต้องหยุดจับเส้น..มาจับแฮนด์รถมอเตอร์ไซค์
พี่อ้อย-ศิริพร สีขำ วัย 35 ปี อีกหนึ่งคุณแม่จากเมืองสุพรรณที่เจอวิกฤติโควิด-19 ส่งผลกระทบต่ออาชีพหมอนวดแผนไทยที่ทำเป็นอาชีพหลักมากว่า 20 ปี จนต้องมองหาอาชีพใหม่ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ทุกอาชีพต่างต้องดิ้นรน “พี่เกิดและโตที่สุพรรณบุรี แต่พ่อแม่ก็แยกทางกันตั้งแต่เด็กๆ นะ ตอนนั้นเราก็เทียวไปเทียวมาอยู่กับพ่อบ้างอยู่กับแม่บ้าง แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็มีครอบครัวใหม่ พี่เลยตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ มาตายเอาดาบหน้าตั้งแต่อายุ 15 เพราะอยู่ที่บ้านเราก็ไม่รู้จะทำอะไร เพราะตอนแรกพี่จบแค่ ป.3 เองแล้วมาเรียนต่อ กศน.ด้วยตัวเองจนจบ ม.3 งานสำหรับคนมีความรู้น้อยก็หายากเป็นธรรมดา”
“ช่วงแรกเราก็หางานทำไปเรื่อยๆ ทำมาหมด ทั้งงานโรงงาน งานก่อสร้าง ทำเพื่อให้ได้เงิน แต่โชคดีที่ไปเจอเพื่อนที่เขาเรียนวิชานวดแผนไทยมา เขาก็มาสอนเราจนเราได้วิชาติดตัวและยึดป็นอาชีพหลักเลี้ยงตัวเองมาเรื่อยๆ แต่พอเจอ
โควิดเข้าไปเราก็ได้รับผลกระทบโดยตรง ต้องหยุดทำจากอาทิตย์เป็นเดือน จากเดือนจนเป็นปีกว่าแล้วที่เราไม่ได้กลับไปนวดเลย ตอนนั้นก็มีไปสมัครงานเป็นพนักงานเสิร์ฟช่วงหนึ่ง แต่ร้านอาหารก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกันจากมาตรการที่งดให้นั่งทานในร้าน ตอนที่กำลังกลุ้มใจอยู่ว่าจะหารายได้ทางไหนดีก็มีเพื่อนมาชวนขับแกร็บส่งอาหาร พี่เลยคิดว่าอยากลองดูสักตั้งก็ไม่เสียหายอะไร เลยลองขับมาเรื่อยๆ จนตอนนี้ก็ 7 เดือนกว่าแล้ว”
ยิ่งมีวิกฤติ ชีวิตยิ่งต้องไม่หยุดเรียนรู้
เมื่อต้องเริ่มต้นทำอาชีพใหม่ที่ไม่คุ้นเคยหลายคนอาจท้อและถอดใจ แต่ไม่ใช่กับคุณแม่นักสู้คนนี้ “พอตัดสินใจแล้วว่าจะมาขับแกร็บพี่ก็เริ่มลุยเลย คว้ามอเตอร์ไซค์ออกไปอยู่ในจุดที่เขาบอกกันว่าร้านอาหารเยอะ จำได้ว่าวันแรกที่ออกไปขับเหมือนโดนรับน้องใหม่ เพราะเราก็ยังไม่คล่องแต่ก็อาศัยครอบครัวชุดเขียวอย่างคนขับแกร็บด้วยกันนี่แหละช่วยสอนให้จนเราก็ค่อยๆ เรียนรู้งานจนผ่านมาได้ วันแรกที่ขับก็ค่อนข้างทุลักทุเลนะ เพราะพี่ดู GPS ไม่เก่ง ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ เกือบขับไปบ้านลูกค้าไม่ถูก เรียกว่าอุปสรรคเยอะไปหมด แต่โชคดีอย่างหนึ่งคือเราเป็นคนกล้าถาม อะไรที่ไม่รู้ก็อาศัยถามพี่ๆ เพื่อนที่ขับแกร็บด้วยกัน ซึ่งพวกเขาก็ยินดีสอนให้เราตลอด”
“พอได้ลองขับมาเรื่อยๆ ก็รู้สึกสนุกนะ เราก็เก่งขึ้นจนตอนนี้กลายเป็นเราได้เป็นฝ่ายสอนคนอื่นแล้วด้วย พี่คิดว่าการขับแกร็บจริงๆ แล้วก็คล้ายกับตอนเราทำงานนวดนะ คือยิ่งขยันเรายิ่งได้เงิน ทุกวันนี้พี่ก็พออยู่ได้นะ แต่พอมีมาตรการเรื่องเคอร์ฟิวเราก็อาศัยว่าต้องออกเช้าหน่อยเพราะร้านอาหารปิดเร็วขึ้น และที่สำคัญคือเราก็ต้องระวังมากขึ้น ดูแลตัวเองและปฏิบัติคำแนะนำด้านปลอดภัยและสุขอนามัยที่แกร็บกำหนด ก็ช่วยให้อุ่นใจขึ้น”
คนเป็นแม่…อยู่ที่ไหนก็ยังเป็นแม่
ปัจจุบันพี่อ้อยเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีลูก 2 คนคือน้องเบนซ์ลูกสาวคนโตวัย 19 ปีและน้องเป้ลูกชายคนเล็กวัย 11 ที่อาศัยอยู่กับคุณยายที่จังหวัดสุพรรณบุรี แม้ตอนนี้เธอจะไม่ได้อยู่กับลูกทั้งสองแต่พี่อ้อยก็ไม่เคยปล่อยระยะทางมาทำให้ความสัมพันธ์ของเธอกับลูกต้องห่างกัน
“พี่ให้ลูกอยู่กับคุณยายที่สุพรรณบุรีเพื่อที่จะได้เรียนหนังสือ เราอยากให้เขาได้เรียนสูงๆ จะได้ไม่ต้องมาลำบากแบบเรา เพราะตอนเด็กๆ เราอยากเรียนมากแต่ไม่มีโอกาส ปกติเวลาเก็บเงินได้สักก้อนหนึ่งพี่จะกลับไปหาเขาบ่อยๆ แต่ปีนี้ยิ่งเจอกันยากขึ้น ยิ่งวันแม่ปีนี้โอกาสได้กลับไปเจอกันก็เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเราอยู่ในจุดที่เสี่ยงไม่อยากที่จะเอาความเสี่ยงกลับไปหาครอบครัวด้วย ซึ่งลูกๆ เขาก็เข้าใจนะ เขารู้ว่าแม่อยู่ตรงนี้คอยทำงานหาเงินเพื่ออนาคตของพวกเขา”
“ทุกวันนี้พี่โทรคุยกับลูกทุกวันเลย บางวันโทรหากันเช้า กลางวัน เย็น ทำให้เราไม่รู้สึกว่าห่างกันเลย ความเป็นแม่ลูกกันไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนความสัมพันธ์มันก็ไม่มีวันเปลี่ยน อีกอย่างโชคดีว่าที่ผ่านมาพี่ไม่เคยมีเรื่องลูกให้หนักใจเลย พวกเขาเองยังช่วยสนับสนุนและให้กำลังใจเเม่ด้วยซ้ำ อย่างน้องเบนซ์ก็เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยเพื่อหารายได้เสริม การที่เราเห็นว่าลูกตั้งใจเรียน ดูแลตัวเองได้และไม่เกเรนี่ถือเป็นความภูมิใจสูงสุดของคนเป็นแม่แล้วนะ” พี่อ้อยกล่าวถึงลูกทั้งสองด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจ
ก่อนจบบทสนทนาระหว่างคุณแม่นักสู้คนนี้ พี่อ้อยได้กล่าวทิ้งท้ายพร้อมสายตาที่มุ่งมั่นและให้กำลังใจคุณแม่ท่านอื่นๆ ที่กำลังเผชิญกับอุปสรรคในช่วงนี้ว่า “ในสถานการณ์ตอนนี้ เราต้องทำใจไว้เลยว่ามันจะอยู่กับเราไปอีกพักใหญ่แน่ๆ แต่เวลาที่รู้สึกว่าท้อสำหรับคนเป็นแม่ พี่คิดว่าขอแค่หันไปมองหน้าลูกสักครั้งคิดถึงหน้าของลูกไว้ ร้อยทั้งร้อยเราก็จะมีแรงฮึดสู้ต่อ แม้ว่าเราจะเหลือแรงเฮือกสุดท้ายแต่เราก็จะไปต่อได้เพราะลูกคือกำลังใจที่ดีที่สุดของคนเป็นแม่ทุกคน หลายครั้งที่เวลาพี่เหนื่อยมากๆ แต่พอนึกถึงหน้าลูกก็จะทำให้เราอยากสู้ต่อ ลองดูอีกสักตั้งหนึ่ง อย่ายอมแพ้กับมัน”