แอลจี อีเลคทรอนิคส์ อิงค์ (แอลจี) ประกาศผลประกอบการประจำไตรมาสแรกของปี 2564 ทำผลงานยอดขายรวม 16.90 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 5.07 แสนล้านบาท) และผลกำไรจากการดำเนินงานรวม 1.36 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 4.08 หมื่นล้านบาท) นับเป็นการสร้างสถิติผลประกอบการประจำไตรมาสสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทฯ
พร้อมทุบสถิติอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ร้อยละ 8.1 ซึ่งเป็นอัตราประจำไตรมาสแรกสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีก่อนหน้า รายได้เติบโตขึ้นถึงร้อยละ 27.7 ขณะที่ผลกำไรทะยานขึ้นร้อยละ 39.1 สะท้อนถึงความต้องการซื้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากของผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านและผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ จากพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลกที่หันมาใช้เวลาที่บ้านมากขึ้น
กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องปรับอากาศ รายงานยอดขายประจำไตรมาสแรกที่ 6.03 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 1.81 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.8 จากปีก่อนหน้า และกำไรจากการดำเนินงานรวม 826.39 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 2.48 หมื่นล้านบาท) เพิ่มจากไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมาร้อยละ 22.1 โดยในภูมิภาคอเมริกาเหนือและยุโรป ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าได้สร้างอัตราการเติบโตปีต่อปีที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญติดต่อกันมาถึงสองไตรมาส รวมถึงในประเทศเกาหลีใต้ที่ธุรกิจให้เช่าเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเติบโตอย่างแข็งแกร่งกว่าประเทศอื่น ๆ นอกจากนี้ยังรักษาผลงานยอดขายที่โตขึ้นอย่างต่อเนื่องจากผลิตภัณฑ์กลุ่มพรีเมียมในภูมิภาคอเมริกาเหนือและยุโรป และคาดว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องปรับอากาศจะยังคงโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจากยอดขายผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ขยายการวางตลาดสู่ต่างประเทศ
กลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ประกาศยอดขายในไตรมาสแรกที่ 3.60 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 1.08 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.9 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า กำไรจากการดำเนินงานเติบโตขึ้นร้อยละ 23.9 ที่ 362.75 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 1.09 หมื่นล้านบาท) จากผลงานยอดขายอันแข็งแกร่งในอเมริกาเหนือและยุโรป โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพรีเมียมที่นำโดยทีวี OLED และ NanoCell ยังคงได้รับความนิยมแม้ประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกจะยังได้รับผลกระทบจากโรคระบาด ซึ่งแอลจีได้ตั้งเป้าต่อยอดความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ตลอดปี 2564 โดยเดินหน้ายกระดับไลน์อัพผลิตภัณฑ์พรีเมียม พร้อมขยายช่องทางขายออนไลน์ และพัฒนาการจัดการทรัพยากรและวัสดุอุปกรณ์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
กลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ เผยยอดขายในไตรมาสแรกของปี 2564 ที่ 897.18 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 2.69 หมื่นล้านบาท) ผลการดำเนินงานขาดทุน 251.63 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 7.55 พันล้านบาท) คิดเป็นอัตราการขาดทุนที่สูงกว่าปีก่อนหน้า ร้อยละ 28 เนื่องจากไม่ได้มีการวางขายผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งเป็นผลมาจากประกาศเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาเกี่ยวกับการถอนตัวจากธุรกิจสมาร์ทโฟนของแอลจีในเดือนกรกฎาคมนี้ การรายงานผลกำไร ผลขาดทุนจากการดำเนินงาน รวมทั้งรายละเอียดเกี่ยวกับธุรกิจที่จะยังคงดำเนินงานต่อไปหรือหยุดการดำเนินงาน จะประกาศพร้อมกับผลประกอบการไตรมาสที่สองของปีนี้
กลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ มียอดขายในไตรมาสที่หนึ่งรวม 1.70 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 5.10 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 43.5 ผลขาดทุนจากการดำเนินงาน 629,000 เหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 18.87 ล้านบาท) ลดลงจากปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงการฟื้นตัวของตลาดยานยนต์ในอเมริกาเหนือและยุโรป และยังเป็นผลจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของโครงการใหม่ในด้านระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าและระบบบันเทิงสื่อสาร รวมถึงการบริหารค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
กลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กร ทำผลงานที่ดีขึ้นในไตรมาสแรกที่ผ่านมา สร้างรายได้ 1.67 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 5.01 หมื่นล้านบาท) สูงขึ้นร้อยละ 9.1 จากปีก่อนหน้า และเพิ่มจากไตรมาสก่อนหน้าร้อยละ 23.6 จากความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์อย่างจอมอนิเตอร์และพีซี ซึ่งมีปัจจัยสำคัญจากการทำงานระยะไกลและการเรียนออนไลน์ ผลกำไรจากการดำเนินงานรวม 120.38 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือประมาณ 3.61 พันล้านบาท) ลดลงจากปีก่อนหน้า เนื่องจากต้นทุนชิ้นส่วนที่แพงขึ้น เช่น แผงจอ LCD และสารกึ่งตัวนำ (Semiconductor)
ข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของไตรมาสที่1 ปี 2564
รายได้ที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบด้านบัญชีประจำไตรมาสของ แอลจี อีเลคทรอนิคส์ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ IFRS (International Financial Reporting Standards) สำหรับช่วงสามเดือน สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 ทั้งนี้ อัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐจะเท่ากับอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยของสามเดือนในไตรมาสเดียวกัน โดยอัตราแลกเปลี่ยน ณ ไตรมาสที่ 1 ปี 2564 อยู่ที่ 30 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐฯ (ตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของธนาคารแห่งประเทศไทย)