บริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เปิดตัว Galaxy S21 5G และ Galaxy S21+ 5G สมาร์ทโฟนแฟลกชิปรุ่นล่าสุด ที่ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงไลฟ์สไตล์คนในยุคปัจจุบัน เพื่อให้สามารถแชร์เรื่องราวของคุณได้ง่ายๆ โดย Galaxy S21 5G series มาพร้อมกับนวัตกรรมอันล้ำสมัยเพื่อรองรับการใช้งานอย่างเต็มที่ในทุกช่วงเวลา การพลิกโฉมงานดีไซน์เพื่อเพิ่มความโดดเด่น การพัฒนากล้องระดับโปรเพื่อผู้ใช้งานทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น
รวมถึงการนำเสนอระบบปฏิบัติการที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟนตระกูลกาแลคซี่ โดยกาแลคซี่ดีไวซ์แต่ละชิ้นสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้อย่างทรงพลังและมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีเพียงซัมซุงเท่านั้นที่สามารถมอบให้ได้
ดร. ทีเอ็ม โรห์ ประธานฝ่าย โมบายล์ คอมมูนิเคชั่น ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ กล่าวว่า “เมื่อพวกเราหลายคนต้องทำงานแบบ Remote Working และใช้เวลาอยู่ที่บ้านมากขึ้น ทำให้โลกในยุคปัจจุบันได้กลายมาเป็น
โลกแห่งสมาร์ทโฟนโดยสมบูรณ์แบบ ด้วยเหตุนี้ Galaxy S21 5G series สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จากซัมซุงจึงได้รับการออกแบบมาเพื่อส่งมอบประสบการณ์การใช้งานด้านมัลติมีเดียที่หลากหลายและเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม พร้อมมอบอิสระให้ผู้ใช้ได้เลือกสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตนมากที่สุด”
นับเป็นเวลากว่าทศวรรษแล้วที่ Galaxy S series ได้ส่งมอบประสบการณ์ของสมาร์ทโฟนระดับแฟลกชิปที่โดดเด่นและแตกต่างเพื่อเป็นเครื่องมือในการบอกเล่าเรื่องราว เชื่อมต่อ และสร้างความบันเทิงให้แก่ผู้ใช้ โดย Galaxy S21 5G ได้รับการพัฒนาเพื่อส่งต่อความพรีเมียมของสมาร์ทโฟนระดับแฟลกชิปที่จะมาทำให้ทุกวันของผู้ใช้กลายเป็นวันที่น่าจดจำ
ดีไซน์ใหม่สไตล์ ‘คอนทัวร์ คัท’ อันโดดเด่น
Galaxy S21 5G มาพร้อมกับดีไซน์ที่สวยงาม บางเบา ขนาดพอดีมือด้วยจอแสดงผลขนาด 6.2 นิ้ว ในขณะที่ Galaxy S21+ 5G โดดเด่นด้วยจอขนาดใหญ่เต็มตาขนาด 6.7 นิ้ว[1] และความจุแบตเตอรี่ที่มากขึ้นเพื่อให้เหล่าเกมเมอร์และสายซีรีส์ได้เพลิดเพลินกับคอนเทนต์อย่างต่อเนื่องไม่มีสะดุด[2] โดย Galaxy S21 5G series สร้างความแตกต่างด้วยการดีไซน์กล้องใหม่สไตล์ ‘คอนทัวร์ คัท (Contour cut)’ สุดไอคอนิกที่ผสานเข้ากับกรอบโลหะเพรียวบาง โฉบเฉี่ยวได้อย่างลงตัว โดย S21 และ S21+ มีหลายสีใหม่ให้เลือก รวมถึงสี Phantom Violet อันเป็นเอกลักษณ์ ที่มาบนวัสดุผิวด้านแบบ Haze Finish บริเวณด้านหลัง สะท้อนความเรียบหรู มีระดับได้เป็นอย่างดี
Galaxy S21 5G series นำเสนอจอแสดงผลแบบ Dynamic AMOLED 2X Infinity-O 120Hz เพื่อการเลื่อนรับชมคอนเทนต์ที่ลื่นไหลสบายตา[3] พร้อมอัตราการปรับรีเฟรชเรทโดยอัตโนมัติตามประเภทของเนื้อหา ไม่ว่าจะเป็น
การดูฟีดในโซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือคอนเทนต์วิดีโอต่างๆ รวมถึงอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ช่วยลดความเมื่อยล้าของสายตา อย่าง Eye Comfort Shield[4] ที่จะช่วยปรับตัวกรองแสงสีฟ้าโดยอัตโนมัติตามช่วงเวลาของวัน เนื้อหาที่กำลังรับชม รวมถึงให้สอดคล้องกับเวลานอนของผู้ใช้งาน
กล้องที่ดีที่สุดใน Galaxy ที่จะเก็บทุกโมเมนต์เป็นคอนเทนต์น่าจดจำ
Galaxy S21 5G series ยังคงส่งต่อความสุดยอดด้านนวัตกรรมกล้องของซัมซุงมาได้เป็นอย่างดี ด้วยการพัฒนากล้องระดับโปร รวมถึงนวัตกรรมด้านวิดีโอเพื่อให้ผู้ใช้งานทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมืออาชีพ ที่ถ่ายภาพด้วย S21 5G หรือ S21+ 5G แล้วได้ภาพที่ดีที่สุดอยู่เสมอ
สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ยังมาพร้อมกับหลากหลายฟีเจอร์ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น 8K Snap เวอร์ชั่นใหม่ ที่จะช่วยให้ผู้ใช้แคปเจอร์ภาพจากวิดีโอ 8K ได้คมชัดยิ่งขึ้น ดังนั้นคุณจึงสามารถบันทึกภาพวิดีโอได้อย่างเต็มที่ ก่อนจะมาเลือกภาพนิ่งที่ประทับใจในภายหลังได้อย่างที่ต้องการ และไม่ว่าคุณจะอยู่ท่ามกลางความเร็วหรือสภาพแวดล้อมที่สั่นไหว คุณก็ยังจะได้ภาพวิดีโอที่ลื่นไหล ปราศจากอาการเบลอและสั่น ด้วย Super Steady ด้วยระดับการบันทึกแบบ 60fps ที่เวอร์ชั่นใหม่[5]
นอกจากนี้ อีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่ล่าสุด Director’s View กับการแสดงมุมมองได้หลากหลายเลนส์ก่อนถ่ายจริง เพื่อให้ผู้ใช้เลือกเปลี่ยนเลนส์ได้ง่ายๆ ว่าจะถ่ายซูม หรือมุมกว้าง เพื่อวิดีโอที่สมบูรณ์แบบโดยไม่ต้องตัดต่อ ทั้งนี้ สำหรับสาย Vlog สมาร์ทโฟนรุ่นนี้ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Vlogger View ที่สามารถบันทึกภาพจากทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังได้พร้อมกัน รวมถึงการแสดงภาพตัวอย่าง ด้วย Live Thumbnails เพื่อนำเสนอมุมมองผ่านเลนส์อื่นๆ การซูมภาพ หรือการเปลี่ยนเป็นภาพมุมกว้างได้อย่างต่อเนื่องไม่มีสะดุด
ทั้งนี้ เมื่อจับคู่การใช้งาน Galaxy S21 5G series เข้ากับ Galaxy Buds Pro[6] หูฟังไร้สายรุ่นใหม่ล่าสุดของซัมซุง ผู้ใช้จะสามารถบันทึกทั้งเสียงรอบข้างและเสียงของตนเองได้ในเวลาเดียวกันจากการบันทึกเสียงผ่านไมโครโฟนหลายตัว (multiple mic recording)[7] รวมถึงใช้หูฟังรุ่นนี้แทนไมค์ลอย เมื่อต้องการบันทึกเสียงผู้พูดจากระยะไกลได้อีกด้วย นอกจากนี้ ด้วยความชาญฉลาดของ AI ทำให้ฟีเจอร์ Single Take[8] ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากหลังจากการเปิดตัวเมื่อปีที่ผ่านมา ได้รับการพัฒนาให้บันทึกทั้งภาพนิ่งและวิดีโอได้หลากหลายรูปแบบยิ่งขึ้นกว่าเดิม ผ่านการตั้งค่าวิดีโอแบบใหม่ เช่น ไฮไลท์วิดีโอ หรือ Dynamic Slo-mo
กล้องสามเลนส์ระดับโปรที่ทำงานร่วมกับ AI ของ Galaxy S21 5G และ Galaxy S21+ 5G ได้รับการออกแบบมาให้สามารถประเมินและปรับภาพเพื่อบันทึกทุกช่วงเวลาและทุกสถานการณ์ได้อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์แบบ
โดยในโหมดถ่ายภาพบุคคล (Portrait Mode) กล้องจะใช้ระบบการวิเคราะห์แบบ 3 มิติเพื่อแยกวัตถุออกจากพื้นหลังได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น รวมถึงยังมีตัวเลือกสำหรับการจัดแสงในสตูดิโอเสมือนจริง (Virtual studio) และเอฟเฟกต์
พื้นหลังจาก AI เพื่อให้วัตถุโดดเด่นขึ้นมา โดยโหมดนี้สามารถนำมาใช้กับการถ่ายภาพแบบเซลฟี่ได้อีกด้วย
สำหรับภาพระยะไกล ฟีเจอร์ Space Zoom ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ จะให้ผลลัพธ์ของภาพที่คมชัดมากกว่าเดิมด้วย Zoom Lock ใหม่ที่ให้ AI กำหนดจุดโฟกัสให้อยู่ตรงกลางเฟรม เพื่อลดผลกระทบจากอาการมือสั่นเมื่อบันทึกภาพด้วยการซูม 30 เท่า พร้อมเพิ่มการประมวลผลภาพเพื่อมอบภาพที่สว่างสดใสขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ในที่มืดแค่ไหนก็ตาม
Galaxy Ecosystem ที่สุดแห่งการเชื่อมต่อ พร้อมประสิทธิภาพอันทรงพลัง
Galaxy S21 5G มาพร้อมกับชิปเซ็ตรุ่นใหม่และทันสมัยที่สุดใน Galaxy ที่จะมอบความเร็ว ความสามารถด้านการจัดการพลังงาน[9] และระบบการประมวลผลขั้นสูง เพื่อรองรับการเชื่อมต่อแบบ 5G และการประมวลผล AI ผ่านเครื่องโดยตรง (On-device AI)[10] ซึ่งสมาร์ทโฟนรุ่นนี้อัดแน่นไปด้วยขุมพลังทั้งหมดที่ผู้ใช้งานต้องการ เพื่อประมวลผลภาพถ่ายวิดีโอด้วยความคมชัดระดับ 8K การเล่นเกมบนคลาวด์แบบมาราธอน หรือแม้กระทั่งการสร้างสรรค์คลิปวิดีโออันสมบูรณ์แบบ
ทั้งนี้ จากการที่เราพึ่งพาสมาร์ทโฟนของเรามากขึ้นกว่าเดิม ทำให้การปกป้องข้อมูลอันละเอียดอ่อนมีความสำคัญมากกว่าที่เคย ด้วยเหตุนี้ Galaxy S21 5G series จึงได้เพิ่มระบบความปลอดภัยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ด้วย Samsung Knox Vault แพลตฟอร์มความปลอดภัยระดับชิปเซ็ต (SoC) ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของซัมซุงโดยเฉพาะ รวมถึงการนำเสนอเครื่องมือใหม่เพื่อปกป้องและตรวจสอบความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ด้วยการที่ให้ผู้ใช้สามารถลบข้อมูล Metadata ของตำแหน่งที่อยู่ออกจากรูปภาพก่อนทำการแชร์ได้ และด้วยฟังก์ชัน Private Share[11] ผู้ใช้ยังสามารถกำหนดรายชื่อบุคคลที่จะเข้าถึงเนื้อหา พร้อมทั้งระยะเวลาในการเข้าใช้งาน เพื่อการแบ่งปันเนื้อหาได้อย่างไร้กังวลอีกด้วย
Galaxy S21 5G series ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้งานร่วมกับกาแลคซี่ดีไวซ์อื่นๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งด้วย SmartThings Find ผู้ใช้จะสามารถค้นหาอุปกรณ์ในกาแลคซี่ อีโคซิสเต็มได้แม้ในขณะที่ออฟไลน์ ดังนั้น ไม่ว่าผู้ใช้จะลืมอุปกรณ์ไว้ในห้อง ใต้เบาะรถยนต์ หรือแม้กระทั่งลืมไว้ในสถานที่อื่น ฟีเจอร์นี้จะช่วยบอกตำแหน่งและทิศทางของอุปกรณ์ดังกล่าวได้อย่างถูกต้อง และล่าสุดตอนนี้เรายังสามารถค้นหาสิ่งของทั่วไปได้อีกด้วย ผ่าน Galaxy SmartTag[12] อุปกรณ์ติดตามอัจฉริยะชิ้นใหม่ของซัมซุงที่ช่วยในการระบุตำแหน่งของบลูทูธ เพียงแค่นำไปติดไว้กับกุญแจ กระเป๋า หรือแม้แต่ปลอกคอของสัตว์เลี้ยง เราก็จะทราบตำแหน่งสิ่งนั้น ผ่าน SmartThings Find ได้ด้วยเช่นกัน
บริการ Samsung CARE+
Galaxy S21 series มาพร้อมกับบริการเพิ่มความมั่นใจแก่ผู้ใช้งานอย่าง Samsung Care+ (ซัมซุง แคร์ พลัส) ซึ่งให้บริการส่งช่างเทคนิคจากศูนย์บริการซ่อมถึงบ้านในพื้นที่ให้บริการที่กำหนดโดยซัมซุง หรือบริการรับ-ส่ง เครื่องซ่อมในกรณีอยู่นอกพื้นที่ให้บริการหรือมีการเปลี่ยนอะไหล่[13] รวมถึงครอบคลุมความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุ หน้าจอแตก และความเสียหายที่เกิดจากของเหลวเป็นระยะเวลา 1 ปี[14] สามารถติดตามรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการ Samsung Care+ ได้ที่ https://www.samsung.com/th/offer/samsung-care-plus/
สำหรับในประเทศไทย Galaxy S21 5G จะมาในสี Phantom Pink, Phantom Gray และ Phantom Violet ในขณะที่ Galaxy S21+ 5G จะมาในสี Phantom Violet, Phantom Black และ Phantom Silver
[1] การวัดการแสดงผลเป็นแนวทแยงและพื้นที่ที่มองเห็นได้จริงน้อยกว่าเนื่องจากมุมโค้งมนและรูเจาะของกล้อง
[2] การวัดการแสดงผลเป็นแนวทแยงและพื้นที่ที่มองเห็นได้จริงน้อยกว่าเนื่องจากมุมโค้งมนและรูเจาะของกล้อง
[3] เมื่อเทียบกับหน้าจอ 60Hz
[4] Eye Comfort Shield จะถูก “ปิด” โดยค่าเริ่มต้นและต้องสามารถเปิดใช้งานผ่านโหมดการตั้งค่า โดย SGS บริษัทผู้ให้การรับรองชั้นนำของโลก ได้ให้รางวัล Galaxy S21 series ’ด้านการดูแลดวงตาโดยอาศัยความสามารถในการลดผลกระทบที่เป็นอันตรายของแสงสีฟ้าได้อย่างมาก ดูการรับรองนี้ได้ที่ www.sgs.com
[5] วิดีโอ Super Steady จำกัด ไว้ที่ความละเอียด 1080p
[6] วางจำหน่ายแยก
[7] คุณสมบัตินี้มีให้ใช้งานบนสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต Galaxy ที่มี One UI 3.1 ขึ้นไปซึ่งสามารถเปิดและปิดได้ในการตั้งค่า Bluetooth® โดยต้องใช้บัญชี Samsung เดียวกันในการลงทะเบียนอุปกรณ์ ซึ่งความพร้อมใช้งานอาจแตกต่างกันไปตามแอปพลิเคชัน
[8] Single Take สามารถบันทึกภาพและวิดีโอได้นานสูงสุด 15 วินาที
[9] เปรียบเทียบกับ Galaxy S20
[10] ต้องการการเชื่อมต่อเครือข่าย 5G ที่ดีที่สุด ซึ่งมีให้บริการในบางประเทศ กรุณาตรวจสอบกับผู้ให้บริการของคุณสำหรับความพร้อมของเครือข่ายและรายละเอียดเพิ่มเติม ทั้งนี้ ความเร็วในการดาวน์โหลดและสตรีมมิ่งอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการเนื้อหาการเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์และปัจจัยอื่นๆ
[11] Private Share ทำงานระหว่างสมาร์ทโฟน Galaxy ที่ใช้ Android P หรือใหม่กว่า โดยต้องการการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน เพื่อรับ / ส่ง Private Share
[12] วางจำหน่ายแยก
[13] การให้บริการสูงสุด 10 ครั้งต่อปี (5 ครั้ง สำหรับประกันเครื่องตามมาตรฐานของผู้ผลิต และ 5 ครั้งสำหรับกรณีอื่น)
[14] มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม