ในงาน Apple Special Event 2019 นอกจาก iPhone 11 แล้ว Apple ยังได้เปิดตัว iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ออกมาสืบทอด iPhone XS และ iPhone XS Max ที่เปิดตัวปีที่แล้ว และเป็นครั้งแรกที่เปลี่ยนมาใช้ชื่อรุ่น Pro โดยมาพร้อมจอแสดงผลใหม่ และชิปเซ็ทสมาร์ทโฟนที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา
สเปก iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max
iPhone 11 Pro มาพร้อมหน้าจอขนาด 5.8 นิ้ว ส่วน iPhone 11 Pro Max หน้าจอขนาด 6.5 นิ้ว ทั้งคู่ใช้หน้าจอแสดงผลแบบ Super Retina XDR ใหม่ ที่ใ้หความสว่างถึง 1,200 nits และยังประหยัดพลังงานได้มากถึง 15% รวมทั้งรองรับฟีเจอร์คุณภาพของภาพที่สมบูรณ์แบบตั้งแต่ HDR10 ถึง Dolby Vision
ใช้ชิปเซ็ท Apple A13 Bionic ใหม่บนสถาปัตยกรรม 7nm ที่เร็วและประหยัดพลังงานมากกว่า A12 และแรงกว่าชิปเซ็ทเรือธงอย่าง Snapdragon 855 ซึ่ง Apple เคลมว่าเป็นชิปเซ็ทเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมาบนสมาร์ทโฟน โดยมีหน่วยความจำให้เลือก 3 ความจุด้วยกันคือ 64GB/256GB/512GB และรันบนระบบปฎิบัติการ iOS 13
ติดตั้งกล้องหลัง 3 ตัว Triple Camera พร้อมไฟแฟลชแบบ Quad-LED dual-tone ที่สว่างขึ้น 36% ประกอบด้วย
- กล้องหลักเลนส์ Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ 1/2.55″, ขนาดพิกเซล 1.4µm, เลนส์ 26mm, รูรับแสง f/1.8, PDAF และระบบกันสั่น OIS
- กล้องตัวที่ 2 เลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เลนส์ 13mm, รูรับแสง f/2.4
- กล้องตัวที่ 3 เลนส์เทเลโฟโต้ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ 1/3.4″, ขนาดพิกเซล 1.0µm, เลนส์ 52mm, รูรับแสง f/2.0, PDAF, ระบบกันสั่น OIS และซูมแบบออปติคอล 2 เท่า
นอกจากนี้ยังรองรับการซูมภาพไม่สูญเสียรายละเอียดแบบ Optical Zoom ได้สูงสุด 4 เท่า รวมทั้งมาพร้อมโหมด Portrait Lighting แบบใหม่, Night Mode สำหรับถ่ายกลางคืน และบันทึกวิดีโอสูงสุดระดับ 4K@60fps
ส่วนกล้องหน้า TrueDepth Camera ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่มีชื่อว่า “Slofie” หรือการถ่ายวิดีโอแบบ Slow-Motion ที่ระดับ 120fps และยังสามารถบันทึกวิดีโอระดับ 4K@60fps เหมือนกล้องหลังอีกด้วย
รวมทั้งรองรับการกันน้ำกันฝุ่น IP68 (กันน้ำได้ลึก 4 เมตรนานสูงสุด 30 นาที), ฟีเจอร์ Face ID ที่ทำงานเร็วขึ้น 30%, ระบบเสียงสมจริง Spatial Audio, ระบบเสียง Dolby Atmos, รองรับ 2 SIM (อีกซิมจะใช้ eSIM, รองรับ Wi-Fi 6 และ Gigabit LTE ที่เร็วขึ้น
iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ยังคงใช้สายชาร์จแบบ Lightning เหมือนเดิม แต่รองรับการชาร์จเร็ว 18W และ iPhone 11 Pro ใช้แบตเตอรี่ที่ใช้ได้นานต่อเนื่องกว่า XS 4 ชั่วโมง ส่วน iPhone 11 Pro Max จะมีอายุการใช้งาน XS Max ได้นานกว่า 5 ชั่วโมง
ทั้งนี้ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max มีให้เลือก 4 สีคือ Space Gray, Silver , Gold และสีใหม่ Midnight green โดยลูกค้ากลุ่มแรกในสหรัฐอเมริกา เปอร์โตริโก หมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐอเมริกา และอีกกว่า 30 ประเทศ สามารถพรีออเดอร์ได้ในวันศุกร์ที่ 13 กันยายนนี้ และจะเริ่มวางจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 20 กันยายน
สำหรับราคามีดังนี้
iPhone 11 Pro
- รุ่นความจุ 64GB ราคา 999 ดอลล่าร์สหรัฐหรือประมาณ 30,600 บาท
- รุ่นความจุ 256GB ราคา 1149 ดอลล่าร์สหรัฐหรือประมาณ 35,200 บาท
- รุ่นความจุ 512GB ราคา 1349 ดอลล่าร์สหรัฐหรือประมาณ 41,300 บาท
iPhone 11 Pro Max
- รุ่นความจุ 64GB ราคา 1099 ดอลล่าร์สหรัฐหรือประมาณ 33,600 บาท
- รุ่นความจุ 256GB ราคา 1249 ดอลล่าร์สหรัฐหรือประมาณ 38,200 บาท
- รุ่นความจุ 512GB ราคา 1449 ดอลล่าร์สหรัฐหรือประมาณ 44,300 บาท
***อัปเดตราคาบ้านเรา iPhone 11 Pro เริ่มต้นที่ 35,900 บาท ส่วน iPhone 11 Pro Max เริ่มต้นที่ 39,900 ส่วนวันวางจำหน่ายรอประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้งนะครับ
ที่มา : Gsmarena