แบรนด์ไฟแนนซ์ เอเจนซีที่ปรึกษาระดับโลก เผยผลการจัดอันดับแบรนด์ที่ทรงคุณค่าที่สุดจากทั่วโลกในปี 2018 โดย “หัวเว่ย” ก้าวขึ้นสู่อันดับที่ 25 ของ Brand Finance Global 500 สำหรับปี 2018 จากอันดับที่ 40 ในปี 2017 ถือเป็นการขยับขึ้นแบบมีนัยะสำคัญ ด้วยมูลค่าแบรนด์สูงกว่า 38.046 พันล้านดอลลาร์ โดยตัวเลขมูลค่าของแบรนด์หัวเว่ยเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 50%
แบรนด์ไฟแนนซ์ (Brand Finance) เป็นบริษัทที่ให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์และคุณค่าของแบรนด์ ได้ทำการจัดอันดับเพื่อทำการประเมินมูลค่าของแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักระดับโลกนับพันแบรนด์ในแต่ละปีเพื่อเฟ้นหาแบรนด์ดังระดับโลกที่น่าเชื่อถือที่สุดแห่งหนึ่ง โดยในแต่ละปีมีเกณฑ์การประเมินมูลค่าแบรนด์ที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้นทุกปี โดยไม่เพียงวัดมูลค่าของแบรนด์แต่ละแบรนด์ด้วยดัชนีความแข็งแกร่งของแบรนด์ (BSI) เท่านั้น แต่ยังประเมินปัจจัยอื่นๆ อีกหลายปัจจัย อาทิ ความภักดีในแบรนด์ และการลงทุนด้านการตลาด ฯลฯ
การประกาศผลการจัดอันดับประจำปีของแบรนด์ไฟแนนซ์ในทุกๆปีนำมาสู่การพูดคุยอย่างกว้างขวาง เพราะบริษัทหรือแบรนด์ระดับนานาชาติที่มีชื่อติดเข้ามาในการจัดอันดับของแบรนด์ไฟแนนซ์ไม่เพียงได้ชื่อว่าเป็น แบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นว่า แบรนด์นั้นๆ มีคุณค่าและได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติอย่างแท้จริงด้วย
ซึ่งหัวเว่ยมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในการจัดอันดับของแบรนด์ไฟแนนซ์ จากปี 2016 ถึง 2018 ดังนี้:
อันดับที่ 47 ของ Brand Finance Global 500 ปี 2016
อันดับที่ 40 ของ Brand Finance Global 500 ปี 2017
อันดับที่ 25 ของ Brand Finance Global 500 ปี 2018
นอกเหนือจากอันดับที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในแต่ละปีจากการจัดอันดับของแบรนด์ไฟแนนซ์ หัวเว่ยยังมีชื่อติดอยู่ในอันดับของแบรนด์ซี ท็อป 100(BrandZ Top 100) และในรายชื่อของ “Best 100 Brands” จากการจัดอันดับของอินเตอร์แบรนด์ (Interbrand) อย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าหัวเว่ยเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งและมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตอย่างไม่หยุดนิ่งเสมอมา
ทั้งนี้สำหรับหัวเว่ย ปี 2017 ถือว่าเป็นปีที่แบรนด์ได้สร้างจุดหมายใหม่ที่สำคัญหลายประการ ทั้งการเปิดตัว Huawei Mate 10 ที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม และการจัดงาน Huawei Open Day อย่างยิ่งใหญ่ซึ่งช่วยพาแบรนด์หัวเว่ยเข้าไปสร้างการรับรู้กับผู้บริโภคอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น ทั้งในพื้นที่ยุโรปตะวันตก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ละตินอเมริกา และพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลก หัวเว่ยยังจับมือกับไลก้า, พอร์ช ดีไซน์, กูเกิ้ล และแบรนด์ชั้นนำอีกมากมายเพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานสมาร์ทโฟนของผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นไป หัวเว่ยยังมีความตื่นเต้นอีกมากที่จะมานำเสนอภายในงานโมบาย เวิลด์ คองเกรส และในอนาคต ภายใต้ความคิดคำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภคและการสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ โดยหัวเว่ยจะยังคงมุ่งมั่นก้าวต่อไปข้างหน้าเพื่อสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับผู้บริโภค ทั่วโลกต่อไป
นายทศพร นิษฐานนท์ รองผู้อำนวยการ หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป (ประเทศไทย) กล่าวถึงการไต่อันดับขึ้นไปอยู่ลำดับที่ 25 ของ Brand Finance Global 500 สำหรับปี 2018 ว่า “การไต่อันดับขึ้นไปอยู่ลำดับที่ 25 ถือเป็นเรื่องน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะหัวเว่ยถูกจัดอันดับผ่านการประเมินอย่างเข้มงวดจากบริษัทคอนซัลต์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก และนั่นจึงแสดงให้เห็นว่าเราเดินมาถูกทางและถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ยืนยันว่าผู้ใช้ทั่วโลกมีระดับความพึงพอใจและความผูกพันกับแบรนด์หัวเว่ยเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหนึ่งในกลยุทธ์ที่เรายึดถือมาตลอดคือการใส่ใจในเรื่องของการสร้างประสบการณ์ของผู้บริโภค (Customer Experience) เราให้ความสำคัญกับความต้องการและการแก้ปัญหาของผู้ใช้เป็นลำดับต้นๆ โลกกำลังเข้าสู่โลกของดิจิตอลแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราไม่สามารถทำการตลาดโดยใช้การสื่อสารรูปแบบเก่าเพื่อให้คนสนใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้นได้อีกต่อไป ผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นมาแบบไม่ได้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ หรือสามารถแก้ปัญหาที่ผู้บริโภคกำลังหาทางอยู่นั้นจะทำการตลาดได้ยากขึ้น พฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในยุคดิจิตอลเปลี่ยนแปลงไปทำให้เราตระหนักและให้ความสำคัญในจุดนี้ วงจรการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือ Customer journey ของลูกค้ายุคใหม่ ไม่ใช่แค่เห็นแอดโฆษณา แล้วเดินไปซื้อสินค้าที่ร้านค้าเลยเหมือนแต่ก่อน แต่เมื่อผู้บริโภคมีความต้องการหรือตระหนักในปัญหา ผู้บริโภคจะ Search หาข้อมูลสินค้าก่อนเสมอ เพื่อเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างทางเลือกในการตัดสินใจก่อนการตัดสินใจซื้อ จุดนี้เป็นจุดที่ลูกค้าจะมีโอกาสปฏิสัมพันธ์กับสินค้าก่อนที่จะตัดสินใจซื้อเสมอ หัวเว่ยเน้นการทำ Content Marketing ที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ อาทิ การ educate และการสร้าง value content ในมุมของลูกค้าที่ตอบโจทย์ปัญหาและความต้องการของลูกค้าเป็นหลักเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ และนั่นเป็นที่มาที่ทำให้เราเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานของผู้ใช้และก้าวมายืนในจุดนี้ภายในเวลาเพียง 2 ปี”