บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัด ร่วมกับ สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT)จัดงานเปิดตัวซีรี่ส์เสวนา Thailand Talent Talk เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนระหว่างพาร์ทเนอร์ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ในการผลักดันการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลในประเทศไทย จับมือนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางทักษะดิจิทัล
พร้อมสร้างอีโคซิสเต็มด้านดิจิทัลที่แข็งแกร่ง เพื่อรองรับเทรนด์ประเทศไทยยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน โดยหัวเว่ยมุ่งสนับสนุนบุคลากรที่มีทักษะในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องด้วยโครงการพัฒนาบุคลากร Huawei ASEAN Academy และSeeds for the Future
นางสาวธันยพร กริชติทายาวุธ ผู้อำนวยการสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT) กล่าวถึงการจัดสัมมนาในครั้งนี้ว่า “ประเทศไทยอยู่ระหว่างการฟื้นตัวจากจากสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 เช่นเดียวกับหลายๆ ประเทศทั่วโลก โดยประเทศไทยให้ความสำคัญกับเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจดิจิทัล เห็นได้จากนโยบายและโครงการต่างๆ ส่งผลให้เราเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการลงทุนเพื่อเพิ่มและปรับทักษะให้แก่บุคลากรในประเทศสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมไอซีที
ทั้งนี้ การแลกเปลี่ยนในเชิงนโยบายระดับสูงและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จึงถือเป็นโอกาสสำคัญในการหาแนวทางรับมือความท้าทายไปด้วยกัน ทั้งยังเป็นโอกาสที่ดีในการขยายความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในภาคส่วนต่างๆ GCNTจึงร่วมกับหัวเว่ยประเทศไทยจัดซีรี่ส์งานเสวนาThailand Talent Talkขึ้นเพื่อสร้างแพลตฟอร์มแบบเปิดกว้างในการร่วมสนทนาถึงองค์ความรู้ ความท้าทาย การจัดลำดับความสำคัญ และแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวกับบุคลากรด้านดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรม รวมไปถึงการนำเสนอคำแนะนำและแนวทางที่เป็นไปได้ ภายใต้หัวข้อการพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะดิจิทัลอย่างเท่าเทียมเพื่อมุ่งสู่สังคมที่ยั่งยืน”
ด้านนายเอดวิน เดียนเดอร์ หัวหน้าฝ่ายนวัตกรรม บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงเป้าหมายและแนวทางการปฏิบัติที่ดีที่สุดในการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของประเทศไทยว่า “การระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 ทำให้เกิดการหยุดชะงักอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ในทางกลับกัน ยังเป็นการเน้นถึงความสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีที และความรู้ด้านดิจิทัลมากกว่าที่เคย
ซึ่งหัวเว่ยหวังว่าซีรี่ส์สัมมนา Thailand Talent Talkนี้จะทำให้เราสามารถส่งเสริมการเจรจานโยบายระดับสูงและนโยบายพหุภาคีได้ โดยซีรี่ส์งานเสวนาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งสำหรับโครงการต่อเนื่องของ การทำสมุดปกขาวในหัวข้อการพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลของประเทศไทย (Thailand Digital Talent Development Whitepaper) ซึ่งเป็นการออกแบบที่ครอบคลุมทั้งด้านประสิทธิภาพและคุณภาพในการพัฒนาทักษะดิจิทัลในประเทศไทย”
ทั้งนี้ เขายังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หัวเว่ย ประเทศไทย มุ่งมั่นส่งเสริมและสนับสนุนบุคลากรด้านไอซีทีระดับมืออาชีพ เอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ นักเรียน รวมถึงภาคสาธารณะ ผ่านการเรียนรู้กับโครงการ Huawei ASEAN Academyโดยก่อนหน้านี้ หัวเว่ยได้ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะดิจิทัลไปแล้วมากกว่า 52,000 ราย เพื่อรองรับนโยบาย ‘ไทยแลนด์ 4.0’
โดยที่โครงการ Seeds for the Future ซึ่งเปิดตัวในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 ได้ฝึกอบรมนักเรียนนักศึกษาไปแล้วกว่า 230 คน เพื่อที่เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังโลกดิจิทัล และในปีนี้ได้ขยายเป็นโครงการระดับภูมิภาค หัวเว่ยได้เปิดตัวซีรี่ส์โครงการความคิดริเริ่มทางดิจิทัล ตัวอย่างเช่น โครงการรถดิจิทัลบัส เพื่อที่จะเดินทางไปให้ความรู้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษากว่า 1,500 คน คลอบคลุมพื้นที่ห่างไกลใน 11 จังหวัดของประเทศไทย
ศาสตราจารย์ ดร. ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ขึ้นกล่าวในงานสัมมนา Thailand Talent Talkถึงประเด็นเรื่องบุคลากรด้านดิจิทัลของประเทศไทยว่า “สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ได้เร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากบริษัทและองค์กรทั้งหลายต่างก็ต้องการแรงงานที่มีทักษะ เพื่อรองรับกับความท้าทายที่เกิดขึ้นจากการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยช่องว่างหรือความเหลื่อมล้ำด้านทักษะดิจิทัลได้กลายเป็นปัญหาสำคัญในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งรวมถึงประเทศไทย
ทั้งนี้ การที่ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5Gในระดับอาเซียนอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดความต้องการในการลงทุนด้านบุคลากรทางดิจิทัลมากขึ้น เพื่อตอบรับการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในภาคอุตสาหกรรม โดยมีการคาดการณ์จากนโยบายไทยแลนด์ 4.0ว่าเศรษฐกิจดิจิทัลจะคิดเป็นสัดส่วนถึง 30%ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไทย (GDP)ภายในปี พ.ศ. 2573นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติยังได้ระบุว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีบุคลากรด้านดิจิทัลมากกว่า 1ล้านคนภายในปี พ.ศ. 2573ซึ่งไทยอาจจะประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรในด้านดังกล่าวถึง 400,000คนได้”
ทั้งนี้ นางสาวอิลาเรีย ฟาเวอโร หัวหน้าฝ่ายการพัฒนาและการมีส่วนร่วมของเยาวชน องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เข้าร่วมงานเสวนาThailand Talent Talk ในครั้งนี้ โดยกล่าวว่า “เราจำเป็นต้องหาแนวทางที่สร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมทักษะดิจิทัลสำหรับเด็กและเยาวชน ผ่านการจัดการศึกษาทั้งในและนอกระบบ เราจะต้องลงทุนให้มากในเรื่องนี้เพื่ออนาคตของทั้งเด็กไทยและประเทศไทย”
นางสาวฟาเวอโร ยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการร่วมกันค้นหาวิธีแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่มีส่วนร่วมทั้งในภาครัฐ องค์กรไม่แสวงหากำไร และภาคเอกชน เพื่อลดช่องว่างด้านความสามารถทางดิจิทัลในประเทศไทย เธอกล่าวเสริมอีกว่า “การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านดิจิทัลนั้นจะต้องเริ่มจากการสร้างการเข้าถึง ความสามารถในการจ่ายได้ ความรู้รอบและความปลอดภัยด้านดิจิทัลหากปราศจากการเข้าถึงอุปกรณ์และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ราคาไม่แพงและไว้ใจได้ เด็กๆ ก็จะไม่สามารถมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ออนไลน์ได้ นอกจากนี้ หากปราศจากความรู้และความสามารถด้านดิจิทัลที่เหมาะสม คุณครู เด็กๆ และเยาวชนทั้งหลาย ตลอดจนครอบครัวต่างๆ ก็จะไม่สามารถใช้เทคโนโลยีที่ปลอดภัยได้อย่างเต็มศักยภาพเพื่อสร้างให้เกิดการมีส่วนร่วมและการเรียนรู้ของนักเรียน”
นางสาวธัญมาศ ลิมอักษร นักวิเทศสัมพันธ์ ชำนาญการพิเศษ สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (สคช.) กล่าวว่า “การระบาดครั้งใหญ่เป็นตัวเร่งทั้งความต้องการทักษะดิจิทัลและความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล และเพื่อเป็นการสร้างทักษะสำหรับอนาคตดิจิทัลที่รวดเร็ว สคช. มุ่งมั่นที่จะพัฒนาความรู้ด้านดิจิทัล ตลอดจนพัฒนาทักษะของผู้เชี่ยวชาญด้านไอซีที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาใหม่ๆ เช่น วิทยาศาสตร์ข้อมูล อีคอมเมิร์ซ และอีเลิร์นนิงโดยการเป็นองค์กรที่สามารถออกใบรับรองได้”
นางสาวธัญมาศ กล่าวเสริมว่า “สคช. ยังได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐต่างๆ สนับสนุนการพัฒนาทักษะความรู้ด้านอีคอมเมิร์ซให้แก่กลุ่มคนชายขอบ และยังได้ทำงานร่วมกับองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (International Organization for Migration) ในการจัดอบรมทักษะด้านอีคอมเมิร์ซให้แก่แรงงานต่างด้าว นอกจากนี้ ความร่วมมือระหว่างองค์การยูนิเซฟและสคช. ในการสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต และมุ่งให้เกิดการใช้อีโคซิสเต็มด้าน E-Workforce เพื่อปูทางที่หลากหลายและโอกาสที่เพิ่มขึ้นสำหรับคนหนุ่มสาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ด้อยโอกาส ในการฝึกทักษะที่เกี่ยวข้อง”
ทั้งนี้ นวัตกรรมและการพัฒนาขึ้นอยู่กับอีโคซิสเต็มของบุคลากรที่มีทักษะ หัวเว่ยพร้อมที่จะทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ทุกฝ่ายเพื่อสร้างอีโคซิสเต็มสำหรับพัฒนาผู้มีความสามารถที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ หัวเว่ยภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการพัฒนาอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของประเทศไทยตลอด 23 ปีที่ผ่านมา โดยได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากลูกค้าและพาร์ทเนอร์ ในปัจจุบันโลกดิจิทัลมีความสำคัญพอๆ กับน้ำประปาหรือไฟฟ้า หัวเว่ยมุ่งมั่นที่จะสร้างอีโคซิสเต็มที่ครอบคลุม สร้างสรรค์ และน่าเรียนรู้ เพื่อดึงดูดและพัฒนาความสามารถด้านดิจิทัลมากขึ้น ร่วมกันส่งเสริมการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศไทย