ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและไลฟ์สไตล์คนทั่วโลก หัวเว่ยเล็งเห็นถึงเทรนด์ความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่จะยิ่งมีแต่เพิ่มสูงและขยายวงกว้าง
นอกจากการวางรากฐานโดยการพัฒนาระบบและเครือข่ายที่รองรับและกระจายสัญญาณคลื่นความถี่ 5G แล้ว หัวเว่ยยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ (smart devices) ต่างๆ ขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการ โดยมองการณ์ไกลถึงอนาคต ด้วยการเพิ่มฟีเจอร์และฟังก์ชันการทำงานที่คาดว่าจะเป็นที่ต้องการในอนาคตอันใกล้
ความสำคัญของ 5G ที่ไม่ใช่แค่เร็วกว่าเดิม
จากข้อมูล ไม่เพียงแต่สปีดในในการรับส่งข้อมูลด้วยความเร็ว 20 Gpbs ซึ่งมากกว่า 4G ที่ 1Gpbs ถึง 20 เท่า สามารถตอบสนองและแสดงผลต่างๆ อย่างฉับไว จึงทำให้เราสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงอื่นๆ ได้มากยิ่งขึ้น อย่างเช่น AR (Augmented Reality) และ VR (Virtual Reality) รวมถึงการใช้งานบนคลาวด์ (Cloud Computing) ลดพื้นที่ในการดาวน์โหลดเกม หรือข้อมูลต่างๆ มาเก็บไว้ในอุปกรณ์ สามารถเล่นเกมส์ ใช้งานร่วมกับผู้อื่นได้แบบเรียลไทม์ผ่านคลาวด์
และยังต่อยอดไปถึงการลดโลกร้อนทางอ้อม โดยการลดการใช้พลังงาน ด้วยคาดว่า 5G จะทำให้อุปกรณ์ต่างๆ สามารถประมวลผลและตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งขึ้น “5G ใช้พลังงานต่อบิท (per bit) เพียงแค่ 10% เมื่อเทียบกับ 4G หรือกล่าวได้ว่าช่วยประหยัดพลังงานไปถึง 90% ต่อบิท (per bit)”ดร. ฮุย เฉา หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์และนโยบาย หัวเว่ยยุโรป (Dr. Hui Cao, Head of Strategy & Policy, HUAWEI EU) กล่าวในงานเสวนา Huawei Cybersecurity Transparency Centre ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม เมื่อกลางปีก่อน
นอกจากความเร็วในการเชื่อมต่อ รับ-ส่งข้อมูล การประมวลผลและตอบสนองแล้ว ความสเถียรคืออีกหนึ่งคุณสมบัติสำคัญที่ทำให้ 5G ดีกว่าเดิม ที่ผู้ใช้จะสามารถไว้วางใจ เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตและสัญญาณโทรศัพท์ได้ทุกที่ทุกเวลาอย่างแท้จริง 5G ช่วยเพิ่มความสามารถในการรองรับอุปกรณ์ได้มากถึง 1 ล้านเครื่องในพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตร ตอบสนองเทรนด์ IoT (Internet of Things) ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เนตแบบไร้สายกับสมาร์ทดีไวซ์ต่างๆ อุปกรณ์ต่างๆ ร่วมกับสมาร์ทโฟน
ด้วยความสามารถและประสิทธิภาพการทำงานทั้งหมดทั้งมวล ทำให้คลื่นความถี่ 5G จะกลายเป็นโครงข่ายของระบบโครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงให้ภาคอุตสาหกรรมสู่ระบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ
สมาร์ทดีไวซ์ที่ใช่ เพื่อการใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ
หัวเว่ยได้ใช้ความเชี่ยวชาญในการเป็นผู้พัฒนาระบบและมอบโซลูชันส์ด้านโครงข่าย มาประยุกต์ใช้ต่อยอดในการพัฒนา สมาร์ทดีไวซ์ต่างๆ เพื่อให้พร้อมใช้งานคลื่นความถี่5G อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยระบบสัญญาณที่ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ต่างประมูลกันคือ คลื่นความถี่ที่ย่าน 700 MHz และ 2,600 MHz
ซึ่งปัจจุบันสมาร์ทโฟนที่สามารถรองรับได้ทั้งสองย่านความถี่นี้คือ HUAWEI Mate30 Pro 5G สมาร์ทโฟนที่สามารถรองรับระบบ 5G ของประเทศไทยได้จากหัวเว่ย ซึ่งในเดือนต่อไปๆ คาดว่าจะมีรุ่นใหม่ที่รองรับ 5G ได้ทยอยออกตามมาในปีนี้ ซึ่งสิ่งนี้จะกลายเป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญที่ผู้ใช้ต้องพิจารณาประกอบการซื้อสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G คือ ต้องเช็คว่าสามารถรองรับย่านความถี่ที่ค่ายสัญญาณโทรศัพท์ที่ให้บริการเราใช้หรือไม่
จากคุณสมบัติของ 5G ที่กล่าวไปก่อนหน้า สมาร์ทดีไวซ์ที่เหมาะสม จึงควรเป็นสมาร์ทดีไวซ์ที่สามารถดึงเอาศักยภาพของ 5G มาใช้งานได้อย่างเหมาะสม อย่างเช่น มีชิปเซ็ทขั้นสูง การรองรับการถ่ายภาพ-วิดีโอ แบบ UHD (Ultra high definition) และการรองรับ video call แบบ UHD เป็นต้น
ซึ่งสมาร์ทโฟนระดับรุ่นเรือธงของหัวเว่ย ทั้งตระกูล Mate และ P series นอกจากจะอัดแน่นด้วยฟีเจอร์และฟังก์ชันการทำงานที่สนับสนุน 5G แล้ว ยังเป็นสมาร์ทโฟนแบรนด์เดียวที่ผสานเอาโมเด็ม 5G มารวมเข้าไว้กับโปรเซสเซอร์ในชิปเซ็ทเดียวกัน เพื่อลดเวลาการเชื่อมต่อระหว่างโมเด็มกับโปรเซสเซอร์ เสริมประสิทธิภาพการทำงานของ 5G ให้ลื่นไหล ไม่มีสะดุด
คลิกช้อปสมาร์ทโฟน Huawei ที่นี่ >>>