เอไอเอส ปักธง ผู้นำนวัตกรรมเครือข่าย IoT เพื่อการพัฒนาประเทศ ก้าวล้ำไปอีกขั้น ประกาศเปิดตัวเครือข่ายอัจฉริยะ eMTC หรือ enhanced Machine–Type Communication ครอบคลุมทั่วประเทศ เป็นรายแรกของไทย โดยพร้อมให้บริการทันที (Live Network)
หลังจากที่เดือนพฤษภาคม 2561 เอไอเอสได้เปิดให้บริการเครือข่าย NB–IoT หรือ Narrow Band Internet of Thing ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เป็นรายแรกของไทย และเป็นเพียงรายเดียวที่ได้ให้บริการเชิงพาณิชย์แบบครบวงจรแล้ว กับองค์กรภาคเอกชนและภาครัฐ รวมถึงมหาวิทยาลัยและหน่วยงานวิจัยด้าน IoT แล้ว อาทิ บริษัท ปตท., พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค, โครตรอน กรุ๊ป (Krotron), มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น
โดยเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมา GSMA สมาคมผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมที่มีสมาชิกมากกว่า 800 รายทั่วโลก ประกาศรับรองให้ เอไอเอส เป็นผู้ให้บริการ ที่มีทั้งโครงข่าย eMTC และ NB–IoT ครอบคลุมทั่วประเทศ เป็นรายแรกและรายเดียวในไทย
จุดเด่นของเครือข่าย eMTC หรือ enhanced Machine–Type Communication ของเอไอเอส อาทิ
1. สามารถรับ/ส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ที่มีการเคลื่อนที่ได้ เช่น Connected Car, Tracking,
2. สามารถรับ/ส่ง ข้อความเสียง สำหรับอุปกรณ์ IoT รูปแบบใหม่ๆ ในอนาคต
3. สามารถรับ/ส่งข้อมูลขนาดใหญ่กว่าเครือข่าย NB–IoT
4. ใช้พลังงานต่ำ เมื่อเทียบกับการส่งข้อมูลด้วย 4g หรือ 3g
จุดเด่นเครือข่าย Narrow Band IoT ของเอไอเอส อาทิ
1. สนับสนุนการใช้พลังงานไฟฟ้าต่ำ จึงช่วยทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่ของอุปกรณ์ IoT อยู่ได้นานถึง 10 ปี
2. สามารถรองรับปริมาณอุปกรณ์ IoT ได้สูงสุดในระดับแสนตัวต่อสถานีฐาน
3. รัศมีครอบคลุมของเครือข่ายต่อสถานีฐาน กระจายได้มากกว่า 10 ก.ม. รวมถึงในตัวอาคารก็ยังรับสัญญาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. สามารถพัฒนาเครือข่ายให้เปิดบริการ IoT ได้อย่างรวดเร็ว เพราะออกแบบอุปกรณ์ให้ใช้ร่วมกับ โครงข่าย 4G ในปัจจุบันได้
นายเกรียงศักดิ์ วาณิชย์นที หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี เอไอเอส กล่าวว่า “การขยายเครือข่าย eMTC ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ถือว่าสำเร็จลุล่วงตามแผนงานที่เราได้ประกาศไว้ว่าจะเร่งขยายเครือข่ายให้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ การมีเครือข่าย eMTC จะช่วยเพิ่มศักยภาพและความแข็งแกร่งในการให้บริการ IoT ไปอีกขั้น เนื่องด้วย eMTC สามารถใช้ควบคู่กับ NB–IoT ได้ และมีคุณสมบัติมาเสริมซึ่งกันและกัน อาทิ eMTC เหมาะกับการใช้งาน IoT แบบเคลื่อนที่ เช่น Connected Car รวมถึงสามารถรับ/ส่ง ข้อความเสียงในอุปกรณ์ IoT ยุคใหม่ๆได้อีกด้วย ในขณะที่ NB–IoT จะเน้นเรื่องการประหยัดพลังงานของอุปกรณ์และสามารถสื่อสารได้ในระยะไกล
ขณะนี้เรากำลังทำงานร่วมกับภาครัฐ และ เอกชน รวมถึงสถาบันการศึกษาต่างๆ เพื่อทยอยนำ IoT เข้าไปเริ่มใช้งานจริงอย่างต่อเนื่อง โดยมีทีมงานคุณภาพของเอไอเอสที่สามารถผสมผสาน ออกแบบ พัฒนารูปแบบบริการที่ตอบโจทย์ สร้างประโยชน์ให้แก่องค์กรได้อย่างแท้จริง ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของชาวเอไอเอส ที่สามารถร่วมผลักดันเทคโนโลยีนี้ให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม จนได้รับการยอมรับจาก ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน องค์กรให้คำปรึกษาและวิจัยระดับโลก ที่ประกาศให้เอไอเอส เป็น Thailand IoT Solutions Provider of the Year 2018 หรือ องค์กรที่มีความเป็นเลิศทางด้านบริการ IoT”
นับเป็นอีกก้าวแห่งความสำเร็จครั้งใหญ่ของประเทศไทยที่มีโครงข่าย IoT ทั้ง 2 ระบบ ที่พร้อมรองรับต่อการพัฒนาและการประยุกต์ใช้งานจริง ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของเอไอเอส ในฐานะผู้นำนวัตกรรมเครือข่ายระบบสื่อสารโทรคมนาคมของประเทศที่ไม่เคยหยุดพัฒนา ด้วยเจตนารมย์ที่ต้องการสร้างโครงข่าย พร้อมรองรับต่อการพัฒนาประเทศในทุกๆ ด้าน เพื่อสอดรับนโยบาย Thailand 4.0 โดยโครงข่าย IoT ถือเป็นโครงข่ายหลักที่สำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะมาสนับสนุนการบริหารจัดการของอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ เพื่อให้คนไทยทุกกลุ่มได้ใช้ประโยชน์สูงสุดจากเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย เอไอเอสเดินหน้าสนับสนุน IoT Ecosystem ทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง โดยสร้างความพร้อมด้านเครือข่ายทั้ง eMTC และ NB–IoT ที่รองรับบริการ IoT รูปแบบใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อจุดประกายการนำเทคโนโลยี IoT เข้าถึงระดับผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งสามารถตอบโจทย์การสร้างสรรค์ และต่อยอดบริการในระดับอุตสาหกรรม และผลักดันประเทศไทยก้าวสู่สังคม Smart City ในยุค 5G อย่างเป็นรูปธรรม
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.gsma.com/iot/deployment–map/#deployments