ดีแทคจัดงานทอล์ค ชูบทบาทและวิสัยทัศน์ด้าน “บิ๊กดาต้า – แมชชีนเลิร์นนิ่ง – ปัญญาประดิษฐ์” ต่อภาคธุรกิจและสังคม ผ่าน 4 ผู้เชี่ยวชาญ เผยประสบการณ์การพัฒนาเทคโนโลยีที่จะพลิกโฉมวงการการตลาด เกษตรกรรมและสาธารณสุข
โดยงานนี้ มีผู้ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์จากการคลุกคลีการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสร้าง “คุณค่า” ใหม่ให้แก่ภาคธุรกิจและสังคม 4 ราย ได้แก่ นายแอนดริว กวาลเซท รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด บริษัท โทเทิ่ลแอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค นายชวิน ฉัตรสิริวิชัยกุล ผู้จัดการด้านกลยุทธ์ รีคัลท์ นายเคนท์ เองเกอ มอนเซน นักวิจัยอาวุโส เทเลนอร์รีเสิร์ช และนางสาวฉัตรสุดา สันตานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานบริหารคุณค่าลูกค้า ดีแทค โดยมีหัวข้อดังนี้
จะเกิดอะไรขึ้นถ้า Machine Learning สามารถเชื่อมโยงลูกค้ากับสิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุด?
นายแอนดริว กวาลเซท รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด คนใหม่ของดีแทค กล่าวว่า แนวทางการตลาดในอนาคตจะเป็นในรูปแบบเฉพาะเจาะจงแบบรายบุคคล (Personalization) มากขึ้น ซึ่งต้องพึ่งพาการใช้ Big Data และ Machine Learning อันเป็นนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ดีแทคเป็นผู้บุกเบิกในตลาดโทรคมนาคม
“ต่อไปลูกค้าจะไม่ต้องค้นหาสิ่งที่เขาต้องการด้วยตัวเอง แต่เราจะนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดและตรงกับความต้องการของเขามากที่สุดด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยเหล่านี้ ซึ่งจะสร้างความประหลาดใจ เสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า และนี่คือคอนเซ็ปต์ของ Personalization” นายแอนดริว กล่าว
ซึ่งเบื้องหลังของประสบการณ์ที่ดีนั้นคือ Machine Learning ที่ใช้วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล ทำให้ทราบว่าลูกค้าต้องการอะไร เมื่อไหร่ อย่างไร และดีแทคสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาพบว่า กว่า 80% ของลูกค้าดีแทคได้ดาวน์โหลดแอปดีแทค สร้างรายได้ใจากการบรการดิจิทัลเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าในปีที่ผ่านมา และนั่นทำให้ประสบการณ์ลูกค้าดีขึ้น เสริมสร้างคุณค่าของผลิตภัณฑ์และบริการดีแทคในยุคดิจิทัล
วิธีการในการสร้างบริการเฉพาะบุคคลนี้ขึ้น ดีแทคจะต้องประมวลข้อมูลหลายพันล้านชุด ซึ่งจะถูกอัพเดทตลอดเวลา และนั่นทำให้เทคโนโลยีอย่างอัลกอริธึ่มและMachine Learning เข้ามามีบทบาทในการทำความเข้าใจกับข้อมูลจำนวนมหาศาลเหล่านี้แล้วจุดกลุ่มออกมา เพื่อหาลักษณะที่คล้ายคลึงกัน
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเกษตรกรรมความแม่นยำ(Precision Farming) สามารถช่วยลดความเหลื่อมล้ำให้กับเกษตรกร?
นายชวิน ฉัตรศิริวิชัยกุล ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์ รีคัลท์ สตาร์ตอัพในโครงการ dtac accelerate 5 กล่าวว่า ผลิตผลจากภาคการเกษตรในประเทศไทยยังต่ำกว่ามาตรฐานทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาค ค่าใช้จ่ายของการเพาะปลูกหมดไปกับปุ๋ยและยาฆ่าแมลง แต่ในทางกลับกันผลผลิตแทบไม่เพิ่มขึ้นเลย ทำให้เกษตรกรเป็นประชากรประสบความยากลำบากจากความยากจน
และนี่จึงเป็นที่มาของ Ricult สตาร์ตอัพที่ก่อตั้งโดย 4 บัณฑิตจากสถาบัน MIT เพื่อแก้ปัญหาผลผลิตการเกษตรตกต่ำ โดยได้นำเอาเทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมและการคาดการณ์สภาพอากาศที่แม่นยำมาช่วยเกษตรกร ภายใต้วิสัยทัศน์ “Those who feed us need us”
โดยบริการข้อมูลเชิงเกษตรของ Ricult จะให้ข้อมูลที่มีประโยชน์แก่เกษตรกรและสามารถนำไปใช้ได้ทันที สามารถเพิ่มผลผลิตได้สูงขึ้น 40% และกำไรเติบโตขึ้นถึง100% ในขณะที่ข้อมูลการคาดการณ์สภาพอากาศทั่วไปมีความละเอียดอยู่ที่ระดับ 50 กิโลเมตร แต่ระบบของ Ricult ครอบคลุมได้ละเอียดถึงระยะ 3 กิโลเมตร และเราได้นำเอาอัลกอริทึมของ Machine Learning เข้ามาช่วยวิเคราะห์แสงสะท้อนจากใบไม้เพื่อประเมินสุขภาพของพืชอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับโครงการ dtac smart farmer และมูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิดในการเข้าถึงกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศ โดยหวังว่าแอปพลิเคชันนี้จะช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้ดีขึ้
จะเกิดอะไรขึ้นถ้า Big Data สามารถช่วยหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ?
นายเคนท์ มอนเซน นักวิจัยอาวุโสจากเทเลนอร์รีเสิร์ช ภายใต้ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้ทำรายงานวิจัยเรื่องการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออกและไข้มาลาเรียผ่านข้อมูลบนโทรศัพท์มือถือในประเทศปากีสถานและไทย กล่าวว่า จากข้อมูลการใช้งานโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้งาน ช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์การเดินทางสัญจรของผู้ใช้งานทั่วทั้งประเทศ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลการระบาดของไข้มาลาเรีย เพื่อคาดการณ์การระบาดของโรคในครั้งต่อไป ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีขนาดใหญ่มหาศาล ตลอดจนเน้นย้ำถึงความสำคัญด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
“ถ้าเราสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าไข้เลือดออกหรือไข้มาลาเรียจะแพร่ระบาดไปยังพื้นที่ใด จะช่วยให้สถาบันสุขภาพแห่งชาติสามารถวางมาตรการป้องกันได้อย่างเหมาะสม เช่น เตรียมการแจกจ่ายมุ้งกันยุง จัดเตรียมคลีนิกเคลื่อนที่ เผยแพร่ข้อมูลในการป้องกันโรคระบาด รวมถึงการลงตรวจสอบพื้นที่อย่างใกล้ชิดมากขึ้น”นายเคนท์ กล่าว
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยมหิดลได้ร่วมกันริเริ่มโครงการเพื่อคาดการณ์และป้องกันการแพร่ระบาดของไข้มาลาเรียในประเทศไทย โดยอาศัยข้อมูลการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ของลูกค้าดีแทค ประกอบเข้ากับข้อมูลผู้ป่วยจากกระทรวงสาธารณสุข
จะเกิดอะไรขึ้นถ้า AI ช่วยยกระดับการทำงานไปอีกขั้น?
นางสาวฉัตรสุดา สันตานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสสาย Customer Value Management (CVM) กล่าวว่า เป้าหมายของ CVM คือ การนำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ผ่านช่องทางที่เหมาะสม ในเวลาที่เหมาะสม ซึ่ง Machine Learning ได้เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการตลาดแบบตัวต่อตัว (One-to-One Marketing) ให้ดียิ่งขึ้น
Machine Learning เข้ามาช่วยพัฒนาการตรวจสอบการลงทะเบียนของบริการระบบเติมเงิน โดยการใช้ระบบจดจำภาพใบหน้า นอกจากนี้มันยังถูกใช้ในการพัฒนาSocial Listening Tool เพื่อช่วยในการจำแนกประเภทของความคิดเห็นบนสื่อสังคมต่าง ๆ โดยทั้งสองโปรเจ็คมีความแม่นยำสูงกว่า 90%
ซึ่งในการทำแต่ละโปรเจ็คนั้น จะต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ในการบริหาร โดยสร้างสมดุลระหว่างการใช้ Hard Skills and Soft Skills เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการทำงานยุคดิจิทัลที่มีเปลี่ยนแปลงด้านข้อมูลและเทคโนโลยีตลอดเวลา ซึ่งได้นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data scientist) เข้ามาร่วมทีมวิเคราะห์ข้อมูล
เพื่อเสริมแกร่งศักยภาพการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดีแทคยังได้ร่วมมือวิจัยด้าน AI กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อสร้างทรัพยากรด้าน AI รุ่นใหม่กับประเทศ โดยมุ่งเน้นไปยังด้านระบบอัจฉริยะอัตโนมัติ (Intelligent Automation) Machine Learning การเสริมสร้างประสบการณ์ใช้งานของลูกค้า และการวิเคราะห์ข้อมูล
เกี่ยวกับ dtac Loop
งาน dtac Loop เป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล เพื่อสานต่อภารกิจ “เชื่อมโยงลูกค้ากับสิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดและเสริมแกร่งพลังทางสังคม” ตามพันธกิจดีแทค
ทั้งนี้ สามารถส่งคำถามต่าง ๆ ให้กับวิทยากรโดยใช้แฮชแท็ก #dtacloop บน Twitter โดยคำตอบและวิดีโอจากงาน dtac loop จะถูกโพสต์ลงบนเว็บไซต์ dtac.blogเร็วๆ นี้