คลังเก็บ

เดลล์ เทคโนโลยีส์ เผยผลวิจัยใหม่ ชี้ธุรกิจในประเทศไทยต้องแบกภาระข้อมูลล้น

เดลล์ เทคโนโลยีส์ เผยผลการศึกษาที่จัดทำขึ้นทั่วโลก* โดยมอบหมายให้ฟอร์เรสเตอร์ คอนซัลติ้ง ดำเนินการ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าธุรกิจจำนวนมากในประเทศไทยกำลังประสบปัญหากับปริมาณข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แทนที่จะเป็นการสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขัน

ข้อมูลกลับกลายเป็นภาระอันเนื่องมาจากอุปสรรคมากมาย ได้แก่ ช่องว่างด้านทักษะข้อมูล (skills gap) ไซโลข้อมูล (data silos) ไปจนถึงกระบวนการต่างๆ ที่ต้องดำเนินการด้วยตัวเอง (manual) ไซโลของธุรกิจ และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (data privacy) รวมถึงจุดอ่อนด้านความปลอดภัยของข้อมูล 

ทั้งนี้ “Data Paradox” หรือ “ความขัดแย้งของข้อมูล” เป็นผลมาจากปริมาณ ความเร็ว และความหลากหลายของข้อมูลที่ท่วมท้นทั้งในส่วนธุรกิจ เทคโนโลยี บุคลากรและกระบวนการ

Dell Technologies

ผลลัพธ์ของการวิจัยเกิดขึ้นจากการสำรวจความคิดเห็นของผู้มีอำนาจในการตัดสินใจมากกว่า 4,000 คนจาก 45 ประเทศ และเป็นผลที่สร้างต่อยอดขึ้นจากการวิจัย ดัชนีชี้วัดการปฏิรูปทางดิจิทัล หรือ  Digital Transformation Index ของเดลล์ เทคโนโลยีส์ ซึ่งประเมินพัฒนาการด้านดิจิทัลของธุรกิจทั่วโลก โดยดัชนีชี้วัดการปฏิรูปทางดิจิทัลเผยถึง “ข้อมูลที่มากเกินไป (overload) การที่ไม่สามารถสกัดข้อมูลเชิงลึกออกมาจากข้อมูลได้” ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปที่สูงสุดเป็นอันดับสามทั่วโลก สูงขึ้นจากอันดับที่ 11 ในปี 2559

  1. ความเข้าใจถึงความขัดแย้ง (Paradox)

สองในสามของผู้ตอบแบบสอบถาม (66 เปอร์เซ็นต์) (ประเทศไทย: 67 เปอร์เซ็นต์) กล่าวว่าธุรกิจขององค์กรตนขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและระบุว่า “ข้อมูลคือสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง (lifeblood) ขององค์กร” แต่มีเพียง 21 เปอร์เซ็นต์ (ประเทศไทย: 12 เปอร์เซ็นต์) เท่านั้นที่ยืนยันว่ามีการจัดการด้านข้อมูลเสมือนเป็นสินทรัพย์และให้ความสำคัญอย่างสูงกับการนำข้อมูลมาใช้ในธุรกิจทั้งหมด

เพื่อให้เกิดความกระจ่างเกี่ยวกับความขัดแย้งนี้ การวิจัยจึงสรุปย่อวัตถุประสงค์ของการวัดความพร้อมทางด้านข้อมูลขององค์กรธุรกิจ

คะแนนความพร้อมด้านข้อมูล: ทั่วโลก

คะแนนความพร้อมด้านข้อมูล: ประเทศไทย

ผลการวิจัยพบว่า 88 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจ (ประเทศไทย: 95 เปอร์เซ็นต์) ยังไม่ก้าวหน้าทั้งในส่วนของเทคโนโลยีและกระบวนการทางข้อมูล และ/หรือวัฒนธรรมและทักษะทางด้านข้อมูล มีเพียง 12 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจเท่านั้น (ประเทศไทย: 5 เปอร์เซ็นต์) ที่ได้รับการจำกัดความให้เป็น Data Champions ซึ่งได้แก่บริษัทที่มีส่วนร่วมอย่างจริงจังทั้งสองด้าน (เทคโนโลยี/กระบวนการ และวัฒนธรรม/ทักษะ)

2. ความขัดแย้งของ ความต้องการที่มีมากเกินกว่าจะจัดการได้

จากการวิจัยพบว่า 70 เปอร์เซ็นต์ (ประเทศไทย: 73 เปอร์เซ็นต์) กล่าวว่าสามารถรวบรวมข้อมูลได้เร็วเกินความสามารถที่จะนำมาวิเคราะห์และใช้งานได้ แต่ 67 เปอร์เซ็นต์ (ประเทศไทย: 70 เปอร์เซ็นต์) กล่าวว่าต้องการข้อมูลมากกว่าที่สามารถหามาได้ในปัจจุบัน ซึ่งอาจเป็นผลมาจาก

  • 64 เปอร์เซ็นต์ (ประเทศไทย: 61 เปอร์เซ็นต์) ปกป้องข้อมูลปริมาณมากภายในดาต้าเซ็นเตอร์ของตัวเองหรือที่ควบคุมอยู่ แม้จะทราบถึงประโยชน์ของการประมวลผลข้อมูลที่ปลายทาง (Edge) (ซึ่งเป็นจุดที่สร้างข้อมูล)
  • ความเป็นผู้นำด้านข้อมูลที่ไม่ดีพอ (poor) โดย 70 เปอร์เซ็นต์  (ประเทศไทย: 68 เปอร์เซ็นต์) ยอมรับว่าบอร์ดหรือคณะกรรมการของบริษัทยังไม่ได้ให้การสนับสนุนอย่างชัดเจนเรื่องกลยุทธ์ด้านข้อมูลและการวิเคราะห์
  • กลยุทธ์ด้านไอทีที่ไม่รองรับการขยายขีดความสามารถ โดย 49 เปอร์เซ็นต์  (ประเทศไทย: 48 เปอร์เซ็นต์) กำลังเร่งเพิ่มจำนวน data lake มากขึ้น แทนการควบรวมที่มีอยู่เข้าด้วยกัน

ผลที่ตามมาก็คือ การเพิ่มจำนวนข้อมูลอย่างรวดเร็วซึ่งทำให้ชีวิตการทำงานยากขึ้นแทนที่จะง่ายขึ้น โดย 64 เปอร์เซ็นต์ (ประเทศไทย: 65 เปอร์เซ็นต์) บ่นว่ามีข้อมูลจำนวนมากที่ไม่สามารถทำให้ถูกต้องตามข้อกำหนดด้านการรักษาความปลอดภัยและที่ต้องปฏิบัติตามได้ และ 61 เปอร์เซ็นต์ (ประเทศไทย: 63 เปอร์เซ็นต์) กล่าวว่าทีมทำงานของพวกเขามีข้อมูลท่วมท้นเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว

“ในช่วงเวลาที่ธุรกิจอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาลในการเปิดรับการปฏิรูปทางดิจิทัล เพื่อการให้บริการลูกค้าที่ฉับไวรวดเร็วยิ่งขึ้น องค์กรธุรกิจจำเป็นที่จะต้องดำเนินการเพื่อให้มีข้อมูลที่มากขึ้น รวมทั้งเพื่อขุดค้นข้อมูล (mining) ที่มีอยู่ให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน ด้วยจำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม 44 เปอร์เซ็นต์ในประเทศไทยระบุว่า การระบาดของไวรัสทำให้ข้อมูลที่จำเป็นต้องรวบรวบ จัดเก็บและวิเคราะห์เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ” นายนพดล ปัญญาธิปัตย์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย เดลล์ เทคโนโลยีส์ กล่าว “การที่จะเป็นองค์กรธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลคือการเดินทาง และองค์กรจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำเพื่อความช่วยเหลือในตลอดเส้นทาง”

3. ความขัดแย้งของการ มองเห็นโดยไม่ทำอะไร

ในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา ภาคธุรกิจแบบ on-demand ได้มีการเติบโตและขยายตัว ก่อให้เกิดคลื่นลูกใหม่ของธุรกิจที่ข้อมูลมีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง (data-first) และข้อมูลอยู่ในทุกที่ (data-anywhere) 

อย่างไรก็ตาม จำนวนขององค์กรธุรกิจที่ย้ายแอปพลิเคชันและโครงสร้างพื้นฐานส่วนใหญ่ไปสู่โมเดล หรือรูปแบบของ as-a-Service ยังมีอยู่เป็นจำนวนน้อย (20 เปอร์เซ็นต์: ประเทศไทย: 12 เปอร์เซ็นต์) แม้ว่า

  • 64 เปอร์เซ็นต์ (ประเทศไทย: 72 เปอร์เซ็นต์) มองเห็นโอกาสในการที่จะสเกลหรือปรับขยายการให้บริการตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของลูกค้า
  • 63 เปอร์เซ็นต์ (ประเทศไทย: 61 เปอร์เซ็นต์) เชื่อว่าการดำเนินการในรูปแบบนี้จะช่วยให้องค์กรมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
  • 60 เปอร์เซ็นต์ (ประเทศไทย: 63 เปอร์เซ็นต์) คาดการณ์ว่าองค์กรธุรกิจต่างๆ จะสามารถทำการโพรวิชันแอปพลิเคชันได้เรียบง่ายและรวดเร็ว (เพียงนิ้วสัมผัสปุ่มคำสั่งเท่านั้น)
  • โมเดลแบบ on-demand จะช่วยให้ 83 เปอร์เซ็นต์ (ประเทศไทย:83 เปอร์เซ็นต์) ของธุรกิจที่กำลังต่อสู้กับอุปสรรคอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมดต่อไปนี้เพื่อจัดเก็บ วิเคราะห์ และดำเนินการกับข้อมูลได้ดีขึ้น ทั้งในเรื่องของค่าใช้จ่ายสูงสำหรับสตอเรจในการในการจัดเก็บข้อมูล คลังข้อมูลที่ไม่ได้รับการปรับให้เหมาะสม ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่ล้าสมัย และกระบวนการที่ใช้คนดำเนินการมากเกินกว่าที่จะตอบสนองความต้องการของพวกเขาเองได้

ความหวังที่เริ่มมองเห็น

แม้ว่าธุรกิจต่างๆ จะประสบปัญหาในวันนี้ แต่หลายองค์กรมีแผนที่จะสร้างอนาคตที่ดีกว่า: 66 เปอร์เซ็นต์ (ประเทศไทย: 65 เปอร์เซ็นต์) ตั้งใจที่จะใช้แมชชีน เลิร์นนิ่ง (ML) ในการตรวจจับข้อมูลที่ผิดปกติโดยอัตโนมัติ

ขณะที่ 57 เปอร์เซ็นต์ (ประเทศไทย: 52 เปอร์เซ็นต์) กำลังพิจารณาที่จะปรับรูปแบบเพื่อใช้ data-as-a-service และ 52 เปอร์เซ็นต์ (ประเทศไทย: 44 เปอร์เซ็นต์) กำลังวางแผนที่จะมองลึกเข้าไปถึงกลุ่มของประสิทธิภาพในการทำงานเพื่อการปรับโครงสร้างใหม่ว่าจะประมวลผลและใช้ข้อมูลอย่างไรในอีก 1-3 ปีข้างหน้า

มีอยู่สามหนทางที่ธุรกิจสามารถเปลี่ยนภาระด้านข้อมูล (data burden)ให้กลายเป็นข้อได้เปรียบ (data advantage)

  1. ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีของตนให้ทันสมัยเพื่อให้รองรับข้อมูลที่อยู่ปลายทาง (edge) ซึ่งรวมถึงการนำระบบโครงสร้างพื้นฐานและแอปพลิเคชันทางธุรกิจมาไว้ใกล้ข้อมูลที่ต้องการจัดเก็บ วิเคราะห์ และดำเนินการ พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงการสร้างข้อมูลที่หลากหลายในปริมาณมหาศาล โดยใช้โมเดลการดำเนินงานแบบมัลติคลาวด์ที่สอดคล้องกัน
  2. การเพิ่มประสิทธิภาพช่องทางของ/ข้อมูล เพื่อให้ข้อมูลสามารถไหลเวียนไปได้อย่างอิสระและปลอดภัยในขณะที่นำ AI/ML มาช่วยเสริมการจัดการ
  3. การพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อมอบประสบการณ์ความเป็นส่วนตัว และในแบบบูรณาการได้ตามที่ลูกค้าต้องการ

* งานวิจัยที่ได้รับมอบหมายในเดือนพฤษภาคม 2564 ในหัวข้อ “Unveiling Data Challenges Afflicting Businesses Around The World”, ซึ่งจัดทำโดย ฟอร์เรสเตอร์ คอนซัลติ้ง ให้กับเดลล์ เทคโนโลยีส์ โดยการสัมภาษณ์ผู้บริหารและผู้มีอำนาจในการตัดสินใจและมีอำนาจหน้าที่ในการดูแลข้อมูล และจัดวางกลยุทธ์ด้านข้อมูลจำนวน 4,036 คนจากประเทศในอเมริกาเหนือ ยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา เอเชียแปซิฟิคและญี่ปุ่น เกรทเตอร์ไชน่า และลาตินอเมริกา

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

  • อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่นี่: http://delltechnologies.com/dataparadox
  • ผลการศึกษาตามที่ได้รับมอบหมายของฟอร์เรสเตอร์ คอนซัลติ้ง: Unveiling Data Challenges Afflicting Businesses Around The World, พัฒนาขึ้นจากการศึกษาดัชนีการชี้วัดทางดิจิทัลของเดลล์ เทคโนโลยีส์ (Dell Technologies Digital Transformation Index) ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับดัชนี DT สามารถดูได้ที่นี่: http://delltechnologies.com/DTIndex 
  • ติดตามเดลล์ผ่านทาง Twitter Facebook YouTube และ LinkedIn