iPad Air ซึ่งวันนี้มาในสองขนาด ทั้งทรงพลังและอเนกประสงค์ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ด้วยประสิทธิภาพระดับปรากฏการณ์และความสามารถด้าน AI, กล้องหน้าใหม่ในแนวนอน และ Wi-Fi ที่เร็วขึ้น พร้อมการรองรับ Apple Pencil Pro
iPad Air ใหม่พร้อมชิป M2 ซึ่งวันนี้มาในสองขนาดเป็นครั้งแรก ทั้งทรงพลังและอเนกประสงค์ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ โดยมาพร้อมประสิทธิภาพระดับปรากฏการณ์ กล้องหน้าในแนวนอน และ Wi-Fi ที่เร็วขึ้น พร้อมการรองรับ Apple Pencil Pro
Apple ประกาศเปิดตัว iPad Air รุ่น 11 นิ้ว ที่ออกแบบใหม่ และรุ่น 13 นิ้ว แบบใหม่หมดที่อัดฉีดพลังแรงโดยชิป M2 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ iPad Air มาในสองขนาด ได้แก่ รุ่น 11 นิ้ว ที่พกพาสะดวกสุดๆ และรุ่น 13 นิ้ว ที่มาพร้อมจอภาพที่ใหญ่ขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้มีพื้นที่ในการทำงาน เรียนรู้ และเล่นสนุกได้มากขึ้น
โดยทั้งสองรุ่นมาพร้อมประสิทธิภาพอันน่าทึ่งและความสามารถสุดล้ำที่ทำให้ iPad Air ทั้งทรงพลังและอเนกประสงค์ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ และด้วยความที่ชิป M2 นั้นมาพร้อม CPU, GPU และ Neural Engine ที่เร็วยิ่งขึ้น iPad Air ใหม่จึงมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าที่เคย และเป็นอุปกรณ์ที่ทรงพลังเหลือเชื่อสำหรับ AI
ยิ่งไปกว่านั้น กล้องหน้าอัลตร้าไวด์ 12MP พร้อมคุณสมบัติจัดให้อยู่ตรงกลางยังย้ายมาอยู่บนขอบแนวนอนของ iPad Air แล้ววันนี้ ซึ่งลงตัวสุดๆ สำหรับการโทรแบบวิดีโอ นอกจากนี้ iPad Air ยังมี Wi-Fi ที่เร็วยิ่งขึ้น และรองรับ 5G ที่เร็วสุดแรงในรุ่นเซลลูลาร์ ผู้ใช้จึงต่อติดกับทุกเรื่องได้ทุกที่ทุกเวลา
และด้วยดีไซน์ที่พกพาสะดวก แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานตลอดวัน จอภาพ Liquid Retina ที่สวยสดงดงาม ตลอดจนการรองรับ Apple Pencil Pro, Apple Pencil (USB-C) และ Magic Keyboard ผู้ใช้จึงมีพลังในการทำงานและสร้างสรรค์ได้มากกว่าที่เคยด้วย iPad Air ครั้งนี้
iPad Air ใหม่มีให้เลือกในสีฟ้าและสีม่วงใหม่ พร้อมด้วยสีสตาร์ไลท์และสีเทาสเปซเกรย์ iPad Air รุ่น 11 นิ้ว ยังคงมีราคาเริ่มต้นเพียง 23,900 บาท และ iPad Air รุ่น 13 นิ้ว มีราคาสุดคุ้มเพียง 29,900 บาท ลูกค้าจะสามารถสั่งซื้อ iPad Air ใหม่ได้เร็วๆนี้
“ผู้ใช้จำนวนมาก ตั้งแต่นักศึกษา คอนเทนต์ครีเอเตอร์ เจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก และอีกมากมายต่างชื่นชอบ iPad Air ในด้านของประสิทธิภาพ ความสะดวกในการพกพา และความอเนกประสงค์ ทั้งหมดนี้ในราคาที่เอื้อมถึงได้ และวันนี้ iPad Air ยังยอดเยี่ยมขึ้นไปอีก” Bob Borchers รองประธานฝ่าย Product Marketing ของ Apple กล่าว
“เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เปิดตัว iPad Air รุ่น 11 นิ้ว ที่ออกแบบใหม่ และรุ่น 13 นิ้ว แบบใหม่หมด ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีให้เลือกในสองขนาด การผสมผสานระหว่างจอภาพ Liquid Retina ที่สวยสดงดงาม ประสิทธิภาพระดับปรากฏการณ์ของชิป M2, ความสามารถด้าน AI ที่น่าทึ่ง และดีไซน์สีสันสดใสที่พกพาสะดวกพร้อมการรองรับอุปกรณ์เสริมใหม่ๆ ทำให้ iPad Air ทั้งทรงพลังและอเนกประสงค์ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ”
iPad Air รุ่น 11 นิ้ว พกพาสะดวกสุดๆ ในขณะที่รุ่น 13 นิ้ว มาพร้อมจอภาพที่ใหญ่ขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้มีพื้นที่ในการทำงาน เรียนรู้ และเล่นสนุกได้มากขึ้น
iPad Air วันนี้มาในสองขนาด
iPad Air รุ่น 11 นิ้ว ที่ออกแบบใหม่นั้นพกพาสะดวกสุดๆ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการทำงานให้เสร็จในระหว่างเดินทาง ส่วนผู้ใช้ที่ต้องการจอภาพที่ใหญ่ขึ้นก็สามารถเลือก iPad Air รุ่น 13 นิ้วใหม่ ซึ่งมีพื้นที่หน้าจอมากกว่ารุ่น 11 นิ้ว ถึง 30% จอภาพอันกว้างขวางทำให้ผู้ใช้มีพื้นที่มากกว่าเดิมในการจดบันทึกไอเดียลงในแอปอย่าง Freeform หรือดูหลายแอปพร้อมกันโดยใช้ Split View ใน iPadOS
ทั้งสองรุ่นมาพร้อมจอภาพสุดล้ำในดีไซน์ Liquid Retina, การเคลือบหน้าจอป้องกันแสงสะท้อน, เทคโนโลยี True Tone, ความสว่างสูง และรองรับขอบเขตสีกว้างแบบ P3 คอนเทนต์ต่างๆ จึงสวยสดงดงามและเต็มอิ่มอย่างน่าทึ่ง ขณะที่ข้อความก็ดูคมชัดในทุกสภาพแสง
iPad Air รุ่น 13 นิ้ว มาพร้อมจอภาพที่กว้างขวางซึ่งมอบพื้นที่หน้าจอมากกว่ารุ่น 11 นิ้ว ถึง 30% ผู้ใช้จึงใช้งานแอปโปรดทั้งหมดแถมยังทำนั่นทำนี่ให้เสร็จได้ง่ายๆ
กล้องหน้าในแนวนอน
วันนี้ กล้องหน้าอัลตร้าไวด์ 12MP บน iPad Air ที่ออกแบบใหม่ได้ย้ายมาอยู่บนขอบแนวนอน โดยมาพร้อมคุณสมบัติจัดให้อยู่ตรงกลาง ซึ่งใช้การเรียนรู้ของระบบ (ML) เพื่อปรับให้ทุกคนอยู่ในเฟรมโดยอัตโนมัติ ต้องบอกเลยว่าตำแหน่งกล้องใหม่นี้ยอดเยี่ยมมาก เพราะอยู่ในแนวที่ผู้ใช้ iPad Air ใช้งานบ่อยที่สุด ไม่ว่าจะพูดคุยกับเพื่อนและครอบครัวผ่าน FaceTime หรือเข้าร่วมการประชุมผ่านวิดีโอในขณะที่ใช้งานคีย์บอร์ดบน iPad Air ไปด้วย
ขณะที่กล้องหลังไวด์ 12MP บน iPad Air นั้นสามารถถ่ายภาพความละเอียดสูงและวิดีโอระดับ 4K ที่มีรายละเอียดครบครันพร้อมการรองรับสโลว์โมชั่น ที่ 240 fps ไมโครโฟนคู่ได้รับการออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับกล้องอย่างลงตัว โดยสามารถบันทึกเสียงจากกล้องที่ใช้งานอยู่ และลดเสียงรบกวนรอบข้างให้เหลือน้อยที่สุด iPad Air ใหม่ยังมีลำโพงสเตอริโอในแนวนอนพร้อมระบบเสียงตามตำแหน่งอีกด้วย โดยรุ่น 13 นิ้วจะให้คุณภาพเสียงที่ดียิ่งขึ้นพร้อมเบสที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ซึ่งเหมาะกับการฟังเพลงและดูวิดีโออย่างเพลิดเพลิน
กล้องหน้าอัลตร้าไวด์ 12MP พร้อมคุณสมบัติจัดให้อยู่ตรงกลางที่ย้ายมาอยู่บนขอบแนวนอนของ iPad Air จะสร้างประสบการณ์การโทรแบบวิดีโอสุดสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อติด iPad Air เข้ากับ Magic Keyboard
ประสิทธิภาพที่จัดเต็มยิ่งกว่าเดิมด้วยชิป M2
ชิป M2 ยกระดับประสิทธิภาพของ iPad Air แบบครั้งใหญ่ด้วย CPU แบบ 8-core และ GPU แบบ 10-core ที่เร็วยิ่งขึ้น ชิป M2 เป็นชิปอันทรงพลังที่ได้รับการปรับปรุงให้เหนือกว่าชิป M1 ในหลายๆ ด้าน จึงเรียกได้ว่ามีประสิทธิภาพแบบก้าวกระโดดสำหรับผู้ที่อัปเกรดจาก iPad Air รุ่นก่อนหน้า และเมื่อรวมกับแบนด์วิดท์หน่วยความจำที่เร็วขึ้นด้วยแล้ว iPad Air ใหม่จึงเร็วกว่า iPad Air รุ่นก่อนหน้าที่มีชิป M1 เกือบ 50% สำหรับงานและการสร้างสรรค์ทุกประเภท1
และเมื่อเปรียบเทียบกับ iPad Air ที่ใช้ชิป A14 Bionic จะพบว่า iPad Air ใหม่มีประสิทธิภาพเร็วขึ้นสูงสุด 3 เท่า โดยผู้ใช้จะสัมผัสได้ถึงความเร็วของชิป M2 ในทุกๆ สิ่งที่พวกเขาทำ ตั้งแต่การสร้างคอนเทนต์ที่ดึงดูดใจได้รวดเร็วกว่าที่เคยใน Affinity Designer ไปจนถึงการเล่นเกมที่เน้นกราฟิกหนักๆ อย่าง Zenless Zone Zero
ชิป M2 ที่เร็วเหลือเชื่อนำประสิทธิภาพแบบจัดเต็มและแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานตลอดวันมาไว้บน iPad Air ผู้ใช้จึงทำอะไรต่อมิอะไรได้มากมาย เช่น เล่นเกมที่เน้นกราฟิกหนักๆ อย่าง Zenless Zone Zero สร้างจังหวะดนตรีที่ซับซ้อน หรือออกแบบและเรนเดอร์ผลงานสร้างสรรค์ 3D
อุปกรณ์ที่ทรงพลังสำหรับ AI
ชิป M2 ทำให้ iPad Air ใหม่เป็นอุปกรณ์ที่น่าทึ่งสำหรับ AI เพราะมาพร้อม Neural Engine แบบ 16-core ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเร็วกว่าชิป M1 ถึง 40% ยิ่งเมื่อผนึกกำลังกับตัวเร่งความเร็ว ML ใน CPU และ GPU ที่ทรงพลังเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ของระบบบนอุปกรณ์ ควบคู่ไปกับสถาปัตยกรรมหน่วยความจำแบบรวมของ Apple Silicon ด้วยแล้ว iPad Air จึงมอบประสิทธิภาพด้าน AI ได้อย่างยอดเยี่ยม
ซึ่งการใช้ประโยชน์จากประสิทธิภาพนี้นี่แหละที่ทำให้ผู้ใช้ได้เพลิดเพลินกับคุณสมบัติอันชาญฉลาดของ iPadOS เช่น ค้นดูจากภาพ ดึงตัวแบบออกจากพื้นหลัง และข้อความในภาพ iPadOS ยังมีเฟรมเวิร์กขั้นสูง เช่น Core ML ที่ช่วยให้นักพัฒนาใช้ประโยชน์จาก Neural Engine เพื่อส่งมอบคุณสมบัติด้าน AI อันทรงพลังบนอุปกรณ์ได้อย่างง่ายดาย
ระบบนิเวศที่หลากหลายของแอปยังมาพร้อมคุณสมบัติ AI สุดล้ำที่ช่วยให้ผู้ใช้ทำสิ่งต่างๆ เช่น ใช้เครื่องมือการปรับอัตโนมัติใน Photomator เพื่อปรับแต่งภาพถ่ายด้วยการคลิกเพียงครั้งเดียวโดยใช้โมเดล AI หรือวิเคราะห์ประสิทธิภาพการกีฬาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนด้วย Onform และความสามารถในการติดตามการเคลื่อนไหว ยิ่งไปกว่านั้น iPad Air ยังรองรับโซลูชันแบบคลาวด์ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ใช้งานแอปเพื่อการทำงานและการสร้างสรรค์สุดล้ำที่อาศัยความสามารถของ AI อย่าง Microsoft Copilot สำหรับ Microsoft 365 และ Adobe Firefly ได้
iPad Air พร้อมชิป M2 เป็นอุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับ AI ซึ่งช่วยให้การเรียนรู้ของระบบในคุณสมบัติอันชาญฉลาดบน iPadOS ทำงานได้เร็วขึ้น เช่น ดึงตัวแบบออกจากพื้นหลัง ค้นดูจากภาพ และข้อความในภาพ
การเชื่อมต่อที่เร็วขึ้นด้วย Wi-Fi 6E และ 5G
การเชื่อมต่อแบบไร้สายที่เร็วขึ้นระหว่างเดินทางช่วยให้ผู้ใช้ทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้นบน iPad Air โดย iPad Air ใหม่รองรับ Wi-Fi 6E ซึ่งมาพร้อมประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นสูงสุด 2 เท่าจากรุ่นก่อนหน้า ผู้ใช้จึงสามารถดาวน์โหลดไฟล์ เล่นเกมออนไลน์ และสตรีมภาพยนตร์ได้ ส่วนรุ่น Wi-Fi + Cellular ที่มี 5G ก็ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงไฟล์ ติดต่อกับเพื่อนร่วมงาน และสำรองข้อมูลได้ในพริบตาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
และ iPad Air ใหม่ในรุ่นเซลลูลาร์ยังเปิดใช้งานด้วย eSIM ซึ่งเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าซิมการ์ดจริง ผู้ใช้จึงสามารถเชื่อมต่อและถ่ายโอนแผนบริการที่มีอยู่แบบดิจิทัลได้อย่างรวดเร็ว และจัดเก็บแผนบริการเซลลูลาร์หลายแผนไว้ในอุปกรณ์เครื่องเดียวได้ ลูกค้าสามารถเชื่อมต่อกับแผนข้อมูลไร้สายบน iPad Air ใหม่ได้อย่างง่ายดายในกว่า 190 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก โดยไม่ต้องขอรับซิมการ์ดจริงจากผู้ให้บริการในพื้นที่
อุปกรณ์เสริมสุดอเนกประสงค์ รวมถึง Apple Pencil Pro
Apple Pencil Pro มาพร้อมความสามารถที่มหัศจรรย์มากยิ่งขึ้นและการโต้ตอบใหม่ๆ อันทรงพลังที่จะยกระดับประสบการณ์ Apple Pencil ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เซ็นเซอร์ใหม่ที่อยู่ในด้ามสามารถรับรู้เมื่อผู้ใช้บีบ และจะแสดงชุดเครื่องมือเพื่อให้ผู้ใช้สลับเครื่องมือ น้ำหนักเส้น และสีได้อย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้โดยไม่รบกวนกระบวนการสร้างสรรค์
ส่วนเอนจิ้นแบบสั่นที่ออกแบบมาโดยเฉพาะจะสั่นเบาๆ เพื่อยืนยันเมื่อผู้ใช้บีบ แตะสองครั้ง หรือคลิกไปที่ Smart Shape เพื่อประสบการณ์การใช้งานที่เป็นธรรมชาติอย่างน่าทึ่ง นอกจากนี้ยังมีไจโรสโคปที่ให้ผู้ใช้หมุน Apple Pencil Pro เพื่อควบคุมเครื่องมือที่ใช้อยู่ได้อย่างแม่นยำ เพียงแค่หมุนด้ามก็สามารถเปลี่ยนแนวของเครื่องมือประเภทปากกาและแปรงรูปทรงต่างๆ ได้เช่นเดียวกับการใช้ปากกาและกระดาษจริงๆ และยังสามารถใช้การยกปลาย Apple Pencil เพื่อดูแนวการหมุนของเครื่องมือได้อย่างแม่นยำก่อนจะลงมือเขียนอีกด้วย
Apple Pencil Pro จะทำให้การทำเครื่องหมาย การจดโน้ต และการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอกในแอปอย่าง Affinity Designer 2 เป็นธรรมชาติกว่าที่เคยด้วยคุณสมบัติสุดล้ำอย่างการบีบ การลากพร้อมหมุน และการตอบสนองแบบสั่น
คุณสมบัติสุดล้ำทั้งหมดนี้ทำให้ผู้ใช้ Apple Pencil Pro สามารถถ่ายทอดไอเดียให้ออกมาโลดแล่นด้วยวิธีใหม่ๆ อย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ส่วนนักพัฒนาก็สามารถสร้างวิธีการโต้ตอบในแบบของตัวเองได้ด้วย Apple Pencil Pro ยังรองรับแอปค้นหาของฉัน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกสำหรับ Apple Pencil ผู้ใช้จึงตามหา Apple Pencil Pro ของตัวเองได้หากเผลอวางไว้ผิดที่ผิดทาง
ทั้งยังมาพร้อมอินเทอร์เฟซแบบแม่เหล็กใหม่สำหรับจับคู่ ชาร์จ และจัดเก็บไว้ด้านข้างของ iPad Air อีกด้วย นอกจากนั้น iPad Air ยังรองรับ Apple Pencil (USB-C) ซึ่งเหมาะสำหรับการจดโน้ต สเก็ตช์ ใส่คำอธิบายประกอบ เขียนบันทึก และอีกมากมายในราคาที่คุ้มค่า
Apple Pencil Pro เพิ่มความสามารถอีกมากมายที่ช่วยถ่ายทอดไอเดียของผู้ใช้ให้ออกมาโลดแล่นอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน ทั้งยังรองรับคุณสมบัติค้นหาของฉัน ผู้ใช้จึงตามหา Apple Pencil Pro ได้อย่างง่ายดาย หากวางไว้ผิดที่ผิดทางไม่ว่าข้างนอกหรือที่บ้าน
iPad Air ใช้งานได้กับ Magic Keyboard ซึ่งมาพร้อมดีไซน์แบบยกลอย แทร็คแพดในตัว และคีย์บอร์ดแบบแบ็คไลท์ Smart Folio ใหม่สำหรับ iPad Air จะยึดติดกับอุปกรณ์ด้วยแม่เหล็ก และวันนี้ยังรองรับมุมในการมองที่หลากหลายยิ่งขึ้นเพื่อความยืดหยุ่นที่เพิ่มมากขึ้น โดย Smart Folio ใหม่มีให้เลือกในสีเทาชาร์โคล สีม่วงอ่อน สีฟ้าเดนิม และสีเขียวเสจ ซึ่งเข้ากันกับสีของ iPad Air อย่างลงตัว
Magic Keyboard ในดีไซน์แบบยกลอยที่ปรับเอนได้จะยึดติดกับอุปกรณ์ด้วยแม่เหล็กและรองรับมุมในการมองที่หลากหลาย วันนี้ยังมาพร้อมประสบการณ์การพิมพ์ที่ยอดเยี่ยม แทร็คแพดที่ให้ผู้ใช้ทำงานกับ iPadOS ได้อีกหลายวิธี ช่องต่อ USB-C สำหรับการชาร์จแบบส่งผ่าน และยังปกป้องตัวเครื่องทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
พลังของ iPadOS
iPadOS 17 มาพร้อมการปรับแต่งในระดับใหม่ๆ และความอเนกประสงค์ที่ช่วยยกระดับประสบการณ์ของ iPad Air ไปอีกขั้น
- ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหน้าจอล็อคให้เป็นส่วนตัวยิ่งขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากจอภาพขนาด 11 นิ้ว หรือขนาด 13 นิ้วใหม่ที่ใหญ่ขึ้นบน iPad Air ไม่ว่าจะเป็นวอลเปเปอร์อันน่าทึ่ง วิธีสนุกๆ ในการแสดงภาพถ่ายที่ผู้ใช้ชื่นชอบ ตลอดจนฟอนต์และสีสันสื่ออารมณ์ เพื่อปรับแต่งรูปลักษณ์ของวันที่และเวลาในแบบที่ต้องการ
- วิดเจ็ตแบบอินเทอร์แอ็คทีฟช่วยให้ผู้ใช้ทำอะไรกับข้อมูลได้มากกว่าแค่เหลือบมองด้วยการแตะเพียงหนึ่งครั้งเพื่อทำสิ่งที่ต้องการให้เสร็จได้ทันที
- แอปข้อความมาพร้อมวิธีสนุกๆ ในการแสดงความเป็นตัวเอง รวมถึงประสบการณ์การใช้สติกเกอร์ด้วยสติกเกอร์อิโมจิ และความสามารถในการสร้าง Live Sticker โดยการดึงตัวแบบออกจากภาพถ่าย
- ผู้ใช้สามารถฝากข้อความเสียงหรือวิดีโอเมื่อไม่มีคนรับสายใน FaceTime และยังใช้ประโยชน์จากกล้องและไมโครโฟนบน iPad Air ด้วยคุณสมบัติความต่อเนื่องของกล้องที่ให้ผู้ใช้เริ่มโทรวิดีโอคอลบน Apple TV ได้โดยตรง หรือเริ่มโทรบน iPad แล้วไปคุยต่อบน Apple TV
- Freeform มาพร้อมเครื่องมือวาดภาพใหม่ๆ การรองรับคุณสมบัติการยกปลาย การเอียง และการปรับให้พอดีตามรูปร่าง ตลอดจนความสามารถในการเพิ่มเส้นเชื่อมต่อและรูปร่างใหม่ลงในวัตถุใดก็ได้ และคุณสมบัติติดตามไปด้วยที่จะช่วยแนะนำผู้ใช้ในการทำงานร่วมกันบนบอร์ด
- แอปโน้ตช่วยให้ผู้ใช้มีวิธีใหม่ๆ ในการจัดระเบียบ อ่าน ใส่คำอธิบายประกอบ และทำงานร่วมกันบน PDF แถมยังช่วยให้การทำงานบน PDF ง่ายดายขึ้นด้วยคุณสมบัติการป้อนอัตโนมัติที่สามารถระบุช่องและกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มได้อย่างชาญฉลาด
- คุณสมบัติตัวจัดการให้อยู่ตรงกลางช่วยให้ผู้ใช้ทำงานบนหน้าต่างหลายบานที่ทับซ้อนกันได้ในมุมมองเดียว ปรับขนาดหน้าต่าง แตะเพื่อสลับระหว่างแอป และอื่นๆ อีกมากมาย
- นอกเหนือจากคุณสมบัติค้นดูจากภาพ ดึงตัวแบบออกจากพื้นหลัง และข้อความในภาพแล้ว ผู้ใช้ยังสามารถใช้ประโยชน์จากความสามารถด้าน AI เช่น คำบรรยายสดสำหรับคำบรรยายเสียงแบบเรียลไทม์ และคุณสมบัติการช่วยการเข้าถึงอันชาญฉลาด เช่น เสียงส่วนตัว
iPadOS 17 มาพร้อมคุณสมบัติและแอปอันน่าทึ่ง เช่น วิดเจ็ต, Freeform และโน้ตที่ช่วยเสริมพลังให้ผู้ใช้ทำสิ่งต่างๆ ให้เสร็จได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายยิ่งขึ้น
ระบบนิเวศที่หลากหลายของแอป
iPad Air ยังมาพร้อมกับแอปที่ยอดเยี่ยมในตัว เช่น Freeform, โน้ต, iMovie, GarageBand, รูปภาพ และชุดแอปเพื่อการทำงานของ iWork เช่น Pages, Numbers และ Keynote ขณะที่ Logic Pro สำหรับ iPad 2 และ Final Cut Pro สำหรับ iPad 2 ก็มาพร้อมคุณสมบัติใหม่ๆ ที่จะเปลี่ยน iPad Air ให้กลายเป็นขุมพลังสร้างสรรค์ที่ยืดหยุ่นยิ่งขึ้น2 Logic Pro ซึ่งจะพร้อมให้ใช้งานในวันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคมนี้ มาพร้อมประสบการณ์ระดับมืออาชีพสุดล้ำสำหรับการแต่งเพลง การสร้างบีท การผลิต และการมิกซ์เสียง ด้วยคุณสมบัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI อันทรงพลัง รวมถึง Session Players, ChromaGlow และ Stem Splitter
และภายในปีนี้ Final Cut Pro จะเปลี่ยน iPad ให้กลายเป็นที่สุดของสตูดิโอโปรดักชั่นเคลื่อนที่ด้วย Live Multicam ที่สามารถควบคุมและบันทึกด้วย iPhone หรือ iPad สูงสุดสี่เครื่องโดยใช้ Final Cut Camera3, การรองรับโปรเจ็กต์ภายนอก4 และคอนเทนต์ใหม่ๆ อีกมากมาย ขณะเดียวกันก็ยังมีแอปอีกมากกว่าล้านแอปใน App Store ผู้ใช้ iPad Air จึงแน่ใจได้เลยว่าจะมีแอปสำหรับอะไรก็ตามที่พวกเขาอยากทำเสมอ ตั้งแต่การทำงานไปจนถึงความคิดสร้างสรรค์สุดล้ำ
ดีต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น
iPad Air ใหม่ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม อย่างการใช้อะลูมิเนียมรีไซเคิล 100% ในตัวเครื่อง ใช้แร่โลหะหายากรีไซเคิล 100% ในแม่เหล็กทุกชิ้น รวมถึงใช้ทองคำและตะกั่วบัดกรีรีไซเคิล 100% ในการเคลือบแผงวงจรพิมพ์หลายชิ้น
และ iPad Air ใหม่ ยังได้มาตรฐานระดับสูงของ Apple ด้านการประหยัดพลังงาน อีกทั้งยังปลอดสารปรอท สารหน่วงการติดไฟกลุ่มโบรมีน และ PVC ในขณะที่บรรจุภัณฑ์ใช้เยื่อไม้เป็นหลัก 100% ซึ่งทำให้ Apple เข้าใกล้เป้าหมายในการขจัดพลาสติกออกจากบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดภายในปี 2025 มากยิ่งขึ้น
วันนี้ Apple มีความเป็นกลางทางคาร์บอนสำหรับการดำเนินงานในระดับองค์กรทั่วโลก และเราวางแผนที่จะทำให้ซัพพลายเชนในการผลิตทั้งหมดรวมถึงอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นมีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2030 ด้วย
ราคาและการวางจำหน่าย
- ลูกค้าจะสามารถสั่งซื้อ iPad Air ใหม่พร้อมชิป M2 ได้เร็วๆนี้ apple.com/th/store และแอป Apple Store
- iPad Air รุ่น 11 นิ้ว และ 13 นิ้ว ใหม่ จะมีให้เลือกในสีฟ้า สีม่วง สีสตาร์ไลท์ และสีเทาสเปซเกรย์ในรุ่นความจุ 128GB, 256GB, 512GB และ 1TB
- iPad Air รุ่น 11 นิ้ว ราคาเริ่มต้นที่ 23,900 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi และ 29,900 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi + Cellular iPad Air รุ่น 13 นิ้ว ราคาเริ่มต้นที่ 29,900 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi และ 35,900 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi + Cellular
- ราคาส่งเสริมการศึกษาสำหรับ iPad Air รุ่น 11 นิ้วใหม่อยู่ที่ 21,900 บาท และสำหรับ iPad Air รุ่น 13 นิ้ว อยู่ที่ 28,000 บาท ราคาส่งเสริมการศึกษาสามารถใช้ได้กับนักศึกษาที่กำลังศึกษาหรือเพิ่งเข้าศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยและผู้ปกครอง รวมถึงอาจารย์ เจ้าหน้าที่ และผู้สอนแบบโฮมสคูลในทุกระดับ ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ apple.com/th-edu/shop
- Apple Pencil Pro สามารถใช้งานร่วมกับ iPad Air ใหม่ได้ โดยมีจำหน่ายในราคา 4,990 บาท และในราคาส่งเสริมการศึกษาที่ 4,600 บาท Apple Pencil (USB-C) มีจำหน่ายในราคา 3,190 บาท และในราคาส่งเสริมการศึกษาที่ 2,790 บาท
- Magic Keyboard ซึ่งมีให้เลือกในสีดำและสีขาวสามารถใช้งานร่วมกับ iPad Air รุ่น 11 นิ้ว และ 13 นิ้วได้ โดยมีจำหน่ายในราคา 11,990 บาท สำหรับ iPad Air รุ่น 11 นิ้วใหม่ และ 13,990 บาท สำหรับ iPad Air รุ่น 13 นิ้วใหม่ และมีเลย์เอาท์ให้เลือกมากกว่า 30 ภาษา ราคาส่งเสริมการศึกษาสำหรับ Magic Keyboard รุ่น 11 นิ้วอยู่ที่ 11,200 บาท และสำหรับ Magic Keyboard รุ่น 13 นิ้วอยู่ที่ 13,200 บาท
- Smart Folio ใหม่มีจำหน่ายในราคา 3,390 บาท ในสีเทาชาร์โคล สีม่วงอ่อน สีฟ้าเดนิม และสีเขียวเสจ สำหรับ iPad Air รุ่น 11 นิ้วใหม่ และ 4,190 บาท สำหรับ iPad Air รุ่น 13 นิ้วใหม่
- Logic Pro สำหรับ iPad 2 สามารถใช้งานได้ในวันที่ 13 พฤษภาคม โดยเป็นการอัปเดตฟรีสำหรับผู้ใช้งานเก่า ส่วนผู้ใช้งานใหม่นั้นสามารถดาวน์โหลดได้ใน App Store ในราคา 199 บาท ต่อเดือน หรือ 1,990 บาท ต่อปี โดยมีการทดลองใช้งานฟรี 1 เดือน Logic Pro สำหรับ iPad 2 ต้องใช้กับ iPadOS 17.4 หรือใหม่กว่า ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ apple.com/th/logic-pro-for-ipad
- Final Cut Pro สำหรับ iPad 2 จะพร้อมให้ดาวน์โหลดภายในปีนี้ใน App Store ในราคา 199 บาท ต่อเดือน หรือ 1,990 บาท ต่อปี โดยมีการทดลองใช้งานฟรี 1 เดือน
- Apple มีหลากหลายวิธีที่จะช่วยประหยัดเงินกับ iPad รุ่นล่าสุด ลูกค้าสามารถนำ iPad เครื่องปัจจุบันมาแลกรับเป็นเครดิตสำหรับใช้ซื้อเครื่องใหม่โดยไปที่ Apple Store ออนไลน์, แอป Apple Store หรือที่ Apple Store หากต้องการตรวจสอบมูลค่าของอุปกรณ์ รวมถึงข้อกำหนดและเงื่อนไข ลูกค้าสามารถไปที่ apple.com/th/shop/trade-in
- Apple ทำการทดสอบในเดือนมีนาคมและเมษายน 2024 ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ apple.com/th/ipad-air
- Logic Pro สำหรับ iPad 2 สามารถใช้งานร่วมกับ iPad รุ่นที่ใช้ชิป A12 Bionic หรือใหม่กว่า และ Final Cut Pro สำหรับ iPad 2 สามารถใช้งานร่วมกับ iPad รุ่นที่ใช้ชิป M1 หรือใหม่กว่า
- Final Cut Camera สามารถใช้งานร่วมกับ iPhone XS และใหม่กว่าที่ใช้ iOS 17.4 หรือใหม่กว่า และ iPad รุ่นต่างๆ ที่ใช้งานร่วมกับ iPadOS 17.4 หรือใหม่กว่าได้
- การรองรับโปรเจ็กต์ภายนอกต้องใช้กับ iPadOS 17.5 หรือใหม่กว่า