ดร.ศรีหทัย พราหมณี ผู้จัดการด้านเอไอเอส สตาร์ทอัพ กล่าวว่า “แนวคิดของผู้ประกอบการ Startup คือ มุ่งหาโซลูชันส์ที่จะแก้ไขปัญหาของการใช้ชีวิต ธุรกิจ หรือ ปัญหาของสังคมโลก ด้วยนวัตกรรมทั้งจากแนวคิดและเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้ในช่วงที่ผ่านมา ทั่วโลกมีบริการที่ถูกคิดค้นด้วยแนวคิดนี้ และสามารถสร้างสรรค์ Business Model ใหม่ๆที่พลิกโฉมอุตสาหกรรมต่างๆมาแล้วอย่างต่อเนื่อง
สำหรับ AIS กว่า 10 ปีที่ผ่านมา เราเป็น Telecom Operator รายแรกในไทยที่เปิดเวทีให้แก่ Startup เพราะเชื่อมั่นว่ากลุ่มนี้เป็นหัวใจสำคัญของการสร้างนวัตกรรมเปลี่ยนโลกจากเทคโนโลยีดิจิทัล
โดยเราแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า พร้อมที่จะเป็นพันธมิตร – Digital Partnership ที่จะอยู่เคียงข้าง สนับสนุนให้ Startup ทำงานได้อย่างแข็งแกร่ง ทั้งจากดิจิทัลแพล็ตฟอร์ม องค์ความรู้ ฐานลูกค้าทั้งของ AIS และในกลุ่ม Singtel กว่า 750 ล้าน รายทั่วโลก รวมถึงการเชื่อมต่อกับกลุ่มพันธมิตรภายนอก และกลุ่มนักลงทุน เพื่อสร้างโอกาสให้ Startup เติบโตและขยายตัวได้อย่างแข็งแรง”
“อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน การทำธุรกิจในทุกกลุ่ม รวมถึง Startup นั้น นอกเหนือจากสร้างการเติบโตแล้ว ยังต้องมองถึงประโยชน์จากบริการที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต เสริมศักยภาพธุรกิจให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม จนเกิดผลลัพธ์ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืนต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ตามแนวคิด The Sustainable Development Goals-SDGs
จึงเป็นที่มาซึ่งทำให้การจัดโครงการ AIS-Singtel Group Future Makers ในปีนี้ ต้องการเฟ้นหาและส่งเสริม Startup ที่มีบริการเพื่อสร้างสรรค์สังคมและตอบโจทย์เรื่องของ SDGs ทั้งเศรษฐกิจ, สังคมและสิ่งแวดล้อม โดยคัดเลือก Startup ในกลุ่ม Singtel Group จาก 6 ประเทศ ประกอบด้วย AIS , Airtel อินเดีย, Globe Telecom ฟิลิปปินส์, Optus ออสเตรเลีย , Singtel สิงคโปร์ และ Telkomsel อินโดนีเซีย มานำเสนอไอเดีย เพื่อสร้างโอกาสในการขยายโอกาสทางธุรกิจและสรรหาพันธมิตรเพื่อขยายฐานลูกค้า พร้อมโอกาสได้รับทุนกลางมูลค่ารวม 150,000 เหรียญสิงคโปร์”
ดร. ศรีหทัย กล่าวต่อไปว่า “AIS-Singtel Group Future Makers ปีนี้ เน้นธุรกิจที่จะเกิดประโยชน์ใน 3 กลุ่ม คือ การศึกษา, เศรษฐกิจ และ สุขภาพความเป็นอยู่ที่ดี โดย Startup ที่ชนะในโครงการ นอกเหนือจากได้เงินทุน ยังจะได้รับโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เข้าถึง Know How โครงสร้างพื้นฐาน ดิจิทัล แพล็ตฟอร์ม
ตลอดจนได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆในกลุ่ม Singtel อีกด้วย ที่สำคัญ คือ ได้แบ่งปันคุณค่าเชิงธุรกิจระหว่างกันอย่างรอบด้าน ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์มหาศาลที่หาจากที่อื่นได้ยาก อันจะช่วยการันตีว่าจะสามารถสร้างบริการที่สมบูรณ์แบบได้ในอนาคตอย่างแน่นอน”
โดยผลการประกวดนั้น ทีม Agnos จากประเทศไทย ที่เป็นบริการคู่คิดด้านสุขภาพ จากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่พัฒนาโดยทีมแพทย์และวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ เป็นผู้ชนะร่วมกับประเทศออสเตรเลียและฟิลิปปินส์
ดร. ปพนวิช ชัยวัฒโนดม CEO Agnos health กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับคัดเลือกในครั้งนี้ โดยที่ผ่านมาของ Agnos เกิดขึ้นจากการเห็นถึงปัญหาปริมาณแพทย์ที่ไม่เพียงพอต่อจำนวนประชากร โดยเฉพาะเมื่อเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด ปัญหาตรงนี้ก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
นอกจากนี้ประชาชนเองก็อาจจะยังขาดข้อมูล องค์ความรู้ที่เชื่อถือได้ในการดูแลสุขภาพเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง เราจึงนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เข้ามาลดช่องว่างตรงนี้ โดยให้ประชาชนสามารถเช็คอาการป่วยเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง ง่ายๆผ่านมือถือ เพื่อช่วยให้ทุกคนเข้าใจและ ดูแลสุขภาพได้ง่าย สะดวก ประหยัดขึ้น รวมถึงไม่ไปเพิ่มปริมาณในสถานพยาบาลโดยไม่จำเป็น”
เป้าหมายของ Agnos จึงมองที่ การเป็น health tech startup ที่ใช้ AI เข้ามาช่วยให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพ ที่น่าเชื่อถือ ราคาคุ้มค่า และง่ายที่สุด โดยเรามองว่าบริการนี้สามารถขยายฐานไปสู่ระดับภูมิภาคได้อย่างแน่นอน เพราะหลายๆประเทศในภูมิภาคนี้ ต่างประสบปัญหาคล้ายคลึงกัน
ซึ่งการได้รับโอกาสจากโครงการ Future Maker โดย AIS และกลุ่ม Singtel ที่เป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมข้ามชาติ ที่มาในรูปแบบการสนับสนุนด้านเทคโนโลยี, การทำตลาด, การเข้าใจและเข้าถึงกลุ่มลูกค้า รวมถึงงบประมาณ จะทำให้เป้าหมายนี้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างแน่นอน
ดร. ปพนวิช ชัยวัฒโนดม ย้ำว่า “อยากเชิญชวนให้ Startup มองถึงการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน มากกว่าเพียงผลกำไรระยะสั้น แต่ต้องเกิดประโยชน์กับกลุ่มผู้เกี่ยวข้องอย่างแท้จริง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด SDGs ที่ Agnos พร้อมร่วมส่งต่อไปสู่สังคมผ่านบริการของเราที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้”
“Agnos ถือเป็นตัวแทนแนวคิดของ AIS และประเทศไทย ในการมุ่งใช้นวัตกรรมเพื่อสร้างประโยชน์และแก้ปัญหาการใช้ชีวิตให้แก่ประชาชน ซึ่งในฐานะ Digital Life Service Provider เราขอยืนยันว่า จะยังคงยึดมั่นแนวทางการทำงานอย่างยั่งยืน พร้อมเชิญชวนพาร์ทเนอร์ทุกกลุ่มให้เดินไปในเส้นทาง Sustainability Development พร้อมๆกันตลอดไป” ดร.ศรีหทัย กล่าวในตอนท้าย