จากความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ส่งผลให้หลากหลายอุตสาหกรรมเริ่มปรับตัว ผ่านการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ ซึ่งไม่เพียงแต่ความสะดวกสบาย แต่ยังสร้างทางเลือกที่คุ้มประโยชน์ให้กับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น และหนึ่งในนั้น คือ ธุรกิจประกันภัย โดยล่าสุดทาง พนัส แอสเซมบลีย์ ผู้นำตลาดผลิตรถบรรทุกเพื่อการขนส่งและโลจิสติกส์
พร้อมด้วย เอ็ม เอส ไอ จี ผู้นำด้านประกันวินาศภัย และ AIS 5G ร่วมกันผนึกกำลังเปิดตัว ‘พนัสแคร์’ ประกันภัยรถใหญ่เชิงพาณิชย์แนวใหม่ที่เข้ามาฉีกกฎเดิมๆ ของประกันภัยด้วยการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาวัดผลพฤติกรรมผู้ขับขี่ จากนั้นประมวลผลและมอบประโยชน์เพิ่มเติมให้กับผู้ขับขี่สูงสุดถึง 50% ของเบี้ยประกันภัยเมื่อครบปีกรมธรรม์ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ขับมีพฤติกรรมการขับขี่ที่ดีขึ้นรวมทั้งสร้างความปลอดภัยบนท้องถนนในอนาคตต่อไป
นายสุปรีชา ลิมปิกาญจนโกวิท ผู้จัดการทั่วไป ด้านการบริการดิจิทัล AIS อธิบายว่า “AIS โดย AIS Insurance Service ในฐานะผู้นำด้าน Digital Life Service Provider ที่เน้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมายกระดับอุตสาหกรรมประกันภัย ซึ่งที่ผ่านมาได้เคยร่วมมือกับเอ็ม เอส ไอ จี มาแล้วในโครงการประกันขับดีหรือประกันภัยรถยนต์ในรูปแบบ Usage-Based Insurance (UBI) ที่คิดเบี้ยประกันภัยตามการใช้จริง
โดยนำเอาเทคโนโลยี IoT มาตรวจวัดพฤติกรรมการขับขี่ผ่านสัญญาณโครงข่ายของเอไอเอส ก่อนที่จะประมวลผลเข้าสู่ระบบ Cloud ของเอ็ม เอส ไอ จี เพื่อคำนวณค่าเบี้ยประกันภัยได้ตรงตามพฤติกรรม จึงเป็นที่มาของการส่งต่อความร่วมมือไปยัง พนัส แอสเซมบลีย์ ที่เป็นผู้นำในธุรกิจผลิตรถพ่วงและกึ่งพ่วง ที่กำลัง Transform องค์กร โดยผสมผสาน Digital เข้ามาในกระบวนการทำงาน เพื่อใช้จุดเด่นจากทั้ง 3 บริษัท พัฒนาประกันภัยสำหรับรถใหญ่เชิงพาณิชย์หรือ ‘พนัสแคร์’ นั่นเอง”
นายพนัส วัฒนาชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พนัส แอสเซมบลีย์ จำกัด กล่าวว่า “พนัส แอสเซมบลีย์ดำเนินธุรกิจผลิตรถพ่วงและกึ่งพ่วงมานานเกือบ 50 ปีแล้ว และเราเป็นเบอร์ 1 ของธุรกิจนี้ ซึ่งที่ผ่านมาเราให้ความสำคัญในด้านการพัฒนาแพลตฟอร์มที่สามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้ อาทิ Panus GPS Tracker สำหรับบอกพิกัดและสามารถเก็บค่าพฤติกรรมการขับรถในเชิงลึกคือ ระยะทางต่อวัน (กิโลเมตร) ความเร็วสูงสุดต่อวัน (กม./ชม.) เพื่อให้ลูกค้าของพนัสเกิดความสะดวกสบายในการใช้งาน”
ด้าน นายรัฐพล กิติศักดิ์ไชยกุล กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความร่วมมือกันในครั้งนี้ว่า “นี่คือการขยายผลที่สำคัญจากประกันขับดีที่ได้ร่วมมือกับทางเอไอเอสที่ผ่านมา และในครั้งนี้เราได้ร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยรูปแบบใหม่กับกลุ่มรถใหญ่เชิงพาณิชย์อย่าง ‘พนัสแคร์’ โดยใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนช่วยคิดเบี้ยประกันภัยให้มีความเป็นธรรมมากที่สุด เพื่อนำส่งเบี้ยประกันคืนให้กับผู้เอาประกันภัยที่มีพฤติกรรมการใช้รถที่ดีจริงๆ”
สำหรับ ประกันภัยพนัสแคร์เป็นประกันขับดีรูปแบบใหม่สำหรับรถใหญ่เชิงพาณิชย์ที่ให้รางวัลสำหรับผู้ขับรถบรรทุกดี ด้วยการมอบผลประโยชน์เพิ่มเติมกรณีขับดีสูงสุดถึง 50% ของเบี้ยประกันภัยเมื่อครบปีความคุ้มครอง โดยการคำนวณพฤติกรรมการขับขี่นั้นจะใช้จาก ‘Panus GPS Tracker’ ผ่านโครงข่ายสัญญาณเอไอเอสไปยังระบบ Clouds Server ของ TOD ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Panus Group และส่งค่าผ่านมายัง Server ของเอ็ม เอส ไอ จี โดยมีการแสดงผลให้ผู้เอาประกันภัยทราบผ่าน Panus Mobility Dashboard
ทางเอ็ม เอส ไอ จีจะนำข้อมูลการขับขี่ทั้งหมดในรอบ 1 ปี มาประมวลผลร่วมกับอัตราความเสียหาย (Loss Ratio) เพื่อคำนวณการผลประโยชน์เพิ่มเติมให้กับผู้เอาประกันภัยเมื่อสิ้นสุดปีกรมธรรม์ ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะได้รับ Tracker รุ่น MBT1 เพื่อติดที่หัวลาก และ Smart Trailer สำหรับหางพ่วง โดยให้ความคุ้มครองรถที่มีอายุตั้งแต่ 1-10 ปี ครอบคลุมความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก ความเสียหายต่อรถยนต์ คุ้มครองกรณีรถสูญหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม
นายพนัส กล่าวเสริมต่อไปว่า “กลุ่มเป้าหมายของพนัสแคร์คือผู้ประกอบการกลุ่มโลจิสติกส์ทั้งรายใหญ่และรายย่อยที่เป็นลูกค้าของบริษัทฯ อยู่แล้วและมีการเปิดใช้งาน GPS กับรถเทรลเลอร์อยู่ โดยเราจะนำเสนอพนัสแคร์เข้าไปเสริมทัพสร้างความอุ่นใจให้คนขับรถบรรทุกผ่านทีมงานขายมืออาชีพของพนัสที่มีอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งในปัจจุบันเรามีลูกค้าที่สนใจลงชื่อจองซื้อประกันพนัสแคร์แล้วเกือบ 5,000 ราย ส่วนเป้าหมาย เราตั้งเป้าปีแรกอยู่ที่ 10,000 กรมธรรม์ และ 50,000 กรมธรรม์ภายใน 3 ปี”
นายสุปรีชา กล่าวทิ้งท้ายว่า “ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ทั้ง 2 บริษัทให้ความเชื่อมั่นในการใช้สัญญาณคุณภาพของเอไอเอสเพื่อส่งข้อมูลพฤติกรรมการขับขี่จริง และขอให้คำยืนยันว่าเราจะมีการพัฒนาเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง ดังเช่นล่าสุด AIS 5G ที่มีความแข็งแกร่งครอบคลุมสูงสุดแล้ว 77 จังหวัดทั่วไทย เพื่อช่วยส่งเสริมทั้งธุรกิจประกันภัยและธุรกิจขนส่งโลจิสติกส์ รวมถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ ให้มีขีดความสามารถที่แข็งแกร่ง พร้อมต่อการแข่งขัน และรับมือกับความท้าทายได้อย่างแน่นอน”